วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

กาแฟ สวยสั่งได้


กาแฟ 7 days slim กาแฟลดน้ำหนัก กาแฟลดความอ้วน หุ่นสวย เลือกได้


กาแฟ 7 days slim กาแฟลดน้ำหนัก กาแฟลดความอ้วน หุ่นสวย เลือกได้
 กาแฟ กาแฟ 7 Days Slim กาแฟควบคุมน้ำหนัก กาแฟลดความอ้วน ระดับพรีเมี่ยม
กาแฟเซเว่นเดย์ สริม ครบเครื่องเรื่อง เพรียว & สวย ใน 1 แก้ว
กาแฟปรุงสำเร็จสูตรเฉพาะเซเว่น เดย์ สริมที่ตอบสนองความต้องการเรื่องรูปร่างด้วย 2 กลไกสำคัญ

หุ่นสวย เพรียว กระชับ เลือกได้ ด้วยสารสำคัญ ถึง 11 ชนิด

กาแฟ 7 days Slim ถ้วยโปรดแก้วนี้แตกต่างจากกาแฟ 3 in 1 ทั่วไปอย่างไร?
  1. กาแฟ
  2. ครีมเทียม
  3. ปราศจากน้ำตาล ด้วยซูคราโลส ( 0 แคลอรี่ แต่ให้รสชาติเหมือนน้ำตาลธรรมชาติ)
  4. สารอาหารกลุ่มเผาผลาญไขมัน  
  5. สารอาหารกลุ่มเพรียว กระชับ
 เพรียว…และกระชับ ต้องเริ่มจากภายในสู่ภายนอก
กาแฟเซเว่นเดย์ สริม ปรุงสำเร็จสูตรเฉพาะที่ตอบสนองความต้องการเรื่องรูปร่างด้วย 2 กลไกสำคัญ
1. เพิ่มการเผาผลาญพลังงาน  ลดการสะสมไขมัน
สาเหตุหลักของภาวะน้ำหนักเกินและความอ้วน เกิดจาการที่มีพลังงานหลงเหลือแล้วถูกสะสมไว้ในรูปไขมันส่วนเกินมากเกินไป คุณสมบัติพิเศษของกาแฟปรุงสำเร็จสูตรเฉพาะ 7 Days slim Coffee เริ่มต้นด้วยกลไกลการทำงานจากภายในร่างกาย โดยจะเข้าไปเพิ่มกระดับเมตาโบลิซึมและการกระตุ้นอัตราการเผาพลาญพลังงานในร่างกาย ช่วยเร่งการสลายไขมันใหม่และเก่าที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ช่วยป้องกันและลดการดูดซึมแป้งและไขมันที่เข้าสู่ร่างกาย ลดความอยากอาหาร นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเทอรอลในกระแสเลือด กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และทำให้การขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย
2. กระชับรูปร่าง สร้างกล้ามเนื้อที่แข็งแรง
หลังจากการสลายไขมันที่สะสมไว้ในส่วนต่างๆของร่างกายแล้ว เพื่อลดปัญหารูปร่างแลดูไม่กระชับ หย่อนคล้อยสารพิเศษในกาแฟปรุงสำเร็จสูตรเฉพาะ กาแฟ 7 Days Slim Coffeeจะเร่งสร้างมวลกล้ามเนื้อที่แข็งแรงเข้าเพิ่มแทนที่ส่วนที่เคยเป็นเซลไขมัน ส่งผลให้รูปร่างเฟิร์ม กล้ามเนื้อกระชับ เพรียวได้สัดส่วนสวยงาม นอกจากนี้กล้ามเนื้อที่มีปริมาณมากขึ้นจะทำหน้าที่เป็นตัวเผาผลาญแคลอรี่ หรือพลังงานส่วนเกินออกจากร่างกาย ช่วยป้องกันปัญหาการกลับมาอ้วนใหม่อีกทางหนึ่งด้วย
กาแฟ 7 Days Slim กาแฟลดน้ำหนักที่คู่ควรสำหรับผู้ชนะการประกวด
ไทยซุปเปอร์โมเดล Thai suppermodel 2011
           กาแฟ 7 Days Slim กาแฟสูตรพิเศษ ผสานคุณประโยชน์จากสารสกัดสูงถึง 11 ชนิด ที่ดีที่สุดสำหรับการควบคุมน้ำหนัก ให้สวยและเพรียว พร้อมความหวานแบบ 0 แคลอรี่     จากซูคราโลส  ให้รสชาติกลมกล่อม ที่คุณดื่มได้ทุกวัน
กาแฟลดน้ำหนัก 7 Days srim Coffee อุดมด้วยสารสำคัญมากมายที่จะช่วยดูแลรูปร่างและสุขภาพของคุณอย่างครบครันในแก้วเดียว
  1. สารสกัดจากถั่วขาว : (White Kindney Bean Exract)  ฟาซิโอลามีนในสารสกัดจากถั่วขาว ช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์อะไมเลส ไม่ให้เปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลและลดการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายได้ถึง 66 % การสะสมไขมันใหม่ที่เกิดจากการเปลี่ยนรูปของน้ำตาลจึงลดลง ทั้งยังช่วยควบคุมสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด และลดระดับไตรกรีเซอร์ไรด์ในร่างกายด้วย
  2. แอล- คาร์นิทีน และ แอล-ทาร์เทรต (L-Camithine & L-Tartrate)  : ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันที่ไมโตคอนเดรีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการสร้างพลังงานของเซลล์ ส่งผลให้ร่างกายนำไขมันที่สะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ มาเปลี่ยนเป็นพลังงาน เพิ่มอัตราการแตกตัวของกรดไขมัน ช่วยในการเสริมสร้างการสังเคราะห์โปรตีน ทำให้กล้ามเนื้อและหุ่นกระชับขึ้น  นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจและกระตุ้นให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น
  3. แอล-ไกลซีน และ แอล-ไลซีน (L-Glacine & L-Lysine ) : เป็นกรดอะมิโนที่ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันที่สะสมภายในเซลล์ เพื่อให้ร่างกายนำมาเปลี่ยนเป็นพลังงานในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้น
  4. ไนอะซินาไมด์ ( Niacinamide) : ทำให้กระบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนเป็นไปอย่างสมบูรณ์ กระตุ้นให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายสามารถทำงานได้ตามปกติ ช่วยซ่อมแซม DNA และใช้เพื่อการสังเคราะห์ฮอร์โมนในร่างกาย
  5. วิตามินบี 6 (Pyridoxine hydrochochloride) : เร่งปฏิกิริยาการเผาผลาญไขมัน และคาร์โบไฮเดรตภายในร่างกายและช่วยลดความอยากอาหาร นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานและช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดได้ดียิ่งขึ้น
  6. วิตามินบี 12 ( Vitamin B 12 ): ช่วยในการเผาผลาญกรดไขมัน โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ช่วยเพิ่มความกระชุ่มกระชวย และกระปรี้กระเปร่าให้ร่างกาย
  7. โครเมี่ยม พิโคลิเนต (Chromium Picolinate) : ช่วยเร่งปฏิกิริยาการเผาผลาญน้ำตาลกลูโคส คาร์โบไฮเดรตและไขมันในร่างกาย ลดความอยากน้ำตาล กระตุ้นการสร้างมวลกล้ามเนื้อให้มากขึ้น ทั้งยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติ และช่วยเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายและลดการสร้างไขมันร้าย (LDL) ที่มีโทษต่อร่างกายได้
  8. โคเอนไซม์ คิว10 (Co Enzyme Q 10) : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) สำคัญที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและรักษาโรคร้ายหลายชนิด ทั้งยังช่วยเพิ่มพลังงานให้กับเซลล์ ทำให้เกิดการผลัดเซลล์  ต้านริ้วรอย ต้านการแก่ก่อนวัยได้ดีอีกด้วย
  9. วิตามินซี ( Vitamin C): ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิว และเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย
กาแฟเซเว่น เดย์ สริม  ใช้สารให้ความหวาน ซูคราโลส  ที่ให้ความหวานแต่ไม่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด คุณจึงดื่มกาแฟ เซเว่น เดย์ สลิม  ได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องกลัวอ้วน และดื่มได้แม้แต่ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
สารให้ความหวาน ซูคราโลส คืออะไร?
ซูคราโลส (Sucralose) ซูคราโลสเป็นสารให้ความหวานที่ไม่ให้ พลังงาน ซึ่งถูกสร้างจากการใช้น้ำตาลซูโครสเป็นสารตั้งต้น แล้วแทนที่กลุ่มไฮดรอกซิล 3 ตำแหน่งด้วยอะตอมสารคลอไรด์ ทำให้มีสูตรโครงสร้างคล้ายกับน้ำตาล แต่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้ แต่ยังคงให้รสชาติหวานและไม่มีรสขมติดลิ้นใกล้เคียงน้ำตาล ซูคราโลสมีลักษณะเป็นผลึกแข็งสีขาวร่วน ละลายน้ำได้ดีและสามารถใช้ปรุงอาหารร้อนบนเตาได้โดยไม่สูญเสียความหวาน          ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานและโรคหัวใจ จึงสามารถดื่ม กาแฟ เซเว่น เดย์ สริม  ได้อย่างสบายใจ เพราะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้น และจะช่วยลดระดับน้ำตาลลงด้วยผลจากสรรพคุณสมุนไพร
เลขที่ อ.ย. 10-1-12650-1-0029
Tips to Slim : ดื่มกาแฟ 7 Days Slim วันละ 1-2 แก้ว เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว


  •   ดื่ม 7 Day slim Coffee ก่อนอาหาร 30 นาทีเพื่อช่วยยับยั้งการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลและดูดซึมน้ำตาลจากมื้ออาหาร
  •  ดื่ม 7 Day slim Coffee ยามบ่าย ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันร่างกาย      กล้ามเนื้อกระชับ  ปรับรูปร่างให้เพรียวสวย
กาแฟ 7 days slim ขนาดบรรจุ 14 ซอง/ กล่อง
ราคา 350 บาท  ราคาสมาชิก 280 บาท
กาแฟ 7 Days Slim อร่อยได้ แต่ไม่อ้วน
สวยสั่งได้ โทรเลย
สนใจติดต่อ คุณพิมพ์สิริ สุทธิวิวัฒน์ 083-018 9430
บทความที่เกี่ยวข้อง

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เจาะใจ ตอนเข็มทิศจิตใต้สำนึก ๑


เจาะใจ ตอนเข็มทิศจิตใต้สำนึก ๑





ครั้งต่อไป ประมาณเดือน มีนาคม 2013 สนใจสอบถาม โทร คุณพิมพ์สิริ 083 018 9430 

AutoGenic สัญจร เชียงใหม่

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2555 เวลา 09.00-23.00 น.

สถานที่ โรงแรมบีพี เชียงใหม่ ซิตี้ (ใกล้วัดพระสิงห์)

คุณเคยกลัวว่าตัวเองจะไม่ประสบความสำเร์จในชีวิตมั้ย?
คุณจิตนาการภาพความสำเร็จของคุณไม่ออกใช่รึเปล่า?
คุณกำลังลังเลไม่แน่ใจว่าตัวเองจะสำเร็จเหมือนคนอื่นที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้มั้ย?
คุณกำลังรู้สึกว่าคุณไม่เก่งเหมือนคนอื่น...
คุณคิดว่าการหาคนที่คิดเหมือนคุณ มีเป้าหมายใหญ่เหมือนคุณมันช่างยากเย็น...

ขจัดความรู้สึกเหล่านี้ออกไปฃะด้วย Autogenic Training

นี่คือคำตอบ...ของความสุขในชีวิตอย่างแท้จริง

"สุดยอดยอดคอร์สการโปรแกรมจิตแบบที่คนสำเร็จทุกคนรู้ แต่ไม่เคยบอก"

อบรม วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2555 เวลา 09.00-23.00 น
รวมค่าอาหาร 2 มื้อ คอฟฟี่เบรก ๅ เบรก

คอร์สมูลค่ามากกว่า 5000 บาท ในราคาพิเศษที่หาไม่ได้อีกแล้ว
ในราคาเพียงท่านละ 1000 บาท เท่านั้น

ปล สำหรับเด็กตั้งแต่ 12-15 ปี ราคาพิเศษ 800 บาท/ท่าน

ด่วนจำนวนจำกัดแค่ 100 ท่านแรกเท่านั้น

โทร คุณพิมพ์สิริ 083 018 9430  คุณธนพนธ์ 090 798 3374


สุดยอดยอดคอร์สการโปรแกรมจิตแบบที่คนสำเร็จทุกคนรู้ แต่ไม่เคยบอก


สุดยอดสัมนาครั้งต่อไป มีนาคม 2013 สนใจโทร คุณพิมพ์สิริ 083 018 9430 

AutoGenic สัญจร เชียงใหม่

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2555 เวลา 09.00-23.00 น.

สถานที่ โรงแรมบีพี เชียงใหม่ ซิตี้ (ใกล้วัดพระสิงห์)

คุณเคยกลัวว่าตัวเองจะไม่ประสบความสำเร์จในชีวิตมั้ย?
คุณจิตนาการภาพความสำเร็จของคุณไม่ออกใช่รึเปล่า?
คุณกำลังลังเลไม่แน่ใจว่าตัวเองจะสำเร็จเหมือนคนอื่นที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้มั้ย?
คุณกำลังรู้สึกว่าคุณไม่เก่งเหมือนคนอื่น...
คุณคิดว่าการหาคนที่คิดเหมือนคุณ มีเป้าหมายใหญ่เหมือนคุณมันช่างยากเย็น...

ขจัดความรู้สึกเหล่านี้ออกไปฃะด้วย Autogenic Training

นี่คือคำตอบ...ของความสุขในชีวิตอย่างแท้จริง

"สุดยอดยอดคอร์สการโปรแกรมจิตแบบที่คนสำเร็จทุกคนรู้ แต่ไม่เคยบอก"

อบรม วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2555 เวลา 09.00-23.00 น
รวมค่าอาหาร 2 มื้อ คอฟฟี่เบรก ๅ เบรก

คอร์สมูลค่ามากกว่า 5000 บาท ในราคาพิเศษที่หาไม่ได้อีกแล้ว
ในราคาเพียงท่านละ 1000 บาท เท่านั้น

ปล สำหรับเด็กตั้งแต่ 12-15 ปี ราคาพิเศษ 800 บาท/ท่าน

ด่วนจำนวนจำกัดแค่ 100 ท่านแรกเท่านั้น

โทร คุณพิมพ์สิริ 083 018 9430  คุณธนพนธ์ 090 798 3374

สุดยอดโปรแกรมจิตเพื่อความสำเร็จและความสุขอย่างยั่งยืน

สุดยอดสัมนาครั้งต่อไป มีนาคม 2013 สนใจโทร คุณพิมพ์สิริ 083 018 9430 

ปลุกยักษ์ในตัวเอง ด้วย โปรแกรม AutoGenic



AutoGenic สัญจร เชียงใหม่

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2555 เวลา 09.00-23.00 น.

สถานที่ โรงแรมบีพี เชียงใหม่ ซิตี้ (ใกล้วัดพระสิงห์)

คุณเคยกลัวว่าตัวเองจะไม่ประสบความสำเร์จในชีวิตมั้ย?
คุณจิตนาการภาพความสำเร็จของคุณไม่ออกใช่รึเปล่า?
คุณกำลังลังเลไม่แน่ใจว่าตัวเองจะสำเร็จเหมือนคนอื่นที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้มั้ย?
คุณกำลังรู้สึกว่าคุณไม่เก่งเหมือนคนอื่น...
คุณคิดว่าการหาคนที่คิดเหมือนคุณ มีเป้าหมายใหญ่เหมือนคุณมันช่างยากเย็น...

ขจัดความรู้สึกเหล่านี้ออกไปฃะด้วย Autogenic Training

นี่คือคำตอบ...ของความสุขในชีวิตอย่างแท้จริง

"สุดยอดยอดคอร์สการโปรแกรมจิตแบบที่คนสำเร็จทุกคนรู้ แต่ไม่เคยบอก"

อบรม วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2555 เวลา 09.00-23.00 น
รวมค่าอาหาร 2 มื้อ คอฟฟี่เบรก ๅ เบรก

คอร์สมูลค่ามากกว่า 5000 บาท ในราคาพิเศษที่หาไม่ได้อีกแล้ว
ในราคาเพียงท่านละ 1000 บาท เท่านั้น

ปล สำหรับเด็กตั้งแต่ 12-15 ปี ราคาพิเศษ 800 บาท/ท่าน

ด่วนจำนวนจำกัดแค่ 100 ท่านแรกเท่านั้น

โทร คุณพิมพ์สิริ 083 018 9430  คุณธนพนธ์ 090 798 3374



AUTOGENIC TRAINING
โดย..รศ.ดร.นพ.กำพล ศรีวัฒนกุล  
AUTOGENIC TRAINING เป็นศาสตร์ซึ่งประยุกต์มาจากหลักการสะกดจิตซึ่ง Dr.Schultz ได้พัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1932 และเป็นที่นิยมแพร่หลายในยุโรปมากกว่า 50 ปี ในปัจจุบันได้มีการนำมาดัดแปลงเพื่อทำให้ประสิทธิภาพในการนำไปใช้ประโยชน์ต่างๆ ได้ดีขึ้น จากการประเมินผลและการศึกษาวิจัยของสถาบันเพื่อการพัฒนาจิตและกายพบว่า AUTOGENIC

TRAINING เมื่อใช้ควบคู่หลักการสมาธิและการพัฒนาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงจะมีประโยชน์ในกรณีต่างๆ ดังต่อไปนี้คือ

1. ทำให้สมาธิและความจำดีขึ้น
2. เพิ่มความเชื่อมั่นในตนเอง
3. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
4. ช่วยทำให้คุณภาพชีวิตในภาพรวมดีขึ้น
5. ช่วยระงับอารมณ์เศร้าโศกเสียใจจากการสูญเสียสิ่งที่รัก
6. เพิ่มแรงจูงใจและความกระตือรือร้น
7. แก้ปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ
8. ช่วยบรรเทาอาการปวด
9. ขจัดความวิตกกังวลและความรู้สึกซึมเศร้า
10. บรรเทาอาการปวดศีรษะ ไมเกรน และอาการปวดเรื้อรังต่างๆ
11. บรรเทาอาการภูมิแพ้
12. ขจัดนิสัยที่ไม่ดีออกไป
13. เลิกบุหรี่
14. ควบคุมน้ำหนักตัว
15. เป็นคนอารมณ์ดีอยู่เสมอ สดชื่นแจ่มใส และสามารถปรับเปลี่ยนข้อมูลให้กับจิตใต้สำนึกได้ด้วยตนเอง

การศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ AUTOGENIC TRAINING
      ในการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ AUTOGENIC TRAINING ได้มีการคิดขบวนการโดยหลายขบวนการดังต่อไปนี้

1. การศึกษาคลื่นสมอง และ IMAGING TECHNIQUES
     การตรวจวัดคลื่นสมองหรือที่เรียกว่า EEG (Electroencephalogram) ได้มีการนำมาใช้วัดการเปลี่ยนแปลงในช่วงที่จิตอยู่ในภวังค์ (trance) และถูกสะกดจิต (hypnosis) หลักของ EEG เครื่องวัดความแตกต่างในศักยภาพของกระแสไฟฟ้า (potential differences) ในบริเวณหนังศีรษะซึ่งเกิดจากการไหลเวียนของกระแสไฟฟ้าในสมอง โดยใช้ช่วงอิเล็คโทรนิคในบริเวณหนังศีรษะ และสามารใช้บันทึกสภาวะทางจิตใจได้ว่าอยู่ในภาวะตื่นตัวหรือหลับ และกำหนดช่วงความถี่ของคลื่นตามอักษรกรีกเป็น alpha, beta, delta และ theta ในภาวะที่จิตอยู่ในภวังค์หรือถูกคลื่นสมองจะอยู่ในช่วง alpha waves หรือ theta waves ซึ่งจะบ่งบอกถึงภาวะที่ผ่อนคลายมากกว่าในช่วงของการนอนหลับปกติ กล้ามเนื้อจะมีการผ่อนคลายอย่างเต็มที่ และการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติจะมีประสิทธิภาพสูง รวมทั้งการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติกและพาราซิมพาเทติกจะทำงานกันอย่างสมดุลย์

     ในระยะหลังได้มีการนำเอาเทคนิค MAGNETIC RESONANCE IMAGING (MRI) และ POSITRON EMISSION TOMOGRAPHY (PET) scans มาใช้ในการวัดการเผาผลาญพลังงาน และการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีของเซลล์สมอง ผลการวิจัยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ในช่วงที่จิตอยู่ในภวังค์จะมีการลดการทำงานของสมองซีกซ้ายในขณะที่การทำงานของสมองซีกขวาเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งก็ตรงกับข้อมูลที่มีการเสนอแนะว่าการทำงานของจิตสำนึกเกี่ยวกับสมองซีกซ้าย
และจิตใต้สำนึกเกี่ยวกับสมองซีกขวา ดังนั้นการที่จะสื่อกับจิตใต้สำนึกต้องกระทำในขณะที่จิตสำนึกทำงานน้อยลงก่อน นอกจากนั้นยังพบว่าสมองส่วน LIMBIC SYSTEM ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์จะถูกกระตุ้นให้ทำงานมากขึ้นในภาวะการสะกดจิต และเป็นข้อยืนยันว่าจะทำให้เข้าใจถึงสภาวะทางอารมณ์ได้อย่างชัดเจนขึ้นเมื่อจิตอยู่ในภวังค์ สิ่งที่น่าสนใจคือการทำงานของสมองในหลายช่วงไม่ว่าจะเป็นการควบคุมการมองเห็น การได้ยิน และการวาดจินตนาการจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย

2. การศึกษาด้าน PSYCHONEURO IMMUNOLOGY
     ในการศึกษาการทำงานของสมองและระบบภูมิคุ้มกันโรคพบว่า การทำ autogenic training จะมีการกระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T cells มีประสิทธิภาพในการทำลายเชื้อโรค และเซลล์มะเร็งมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีผลต่อ hypothalamus ต่อมใต้สมองและการทำงานของต่อมไร้ท่อชนิดต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพขึ้น ซึ่งจะเป็นผลให้ประสิทธิภาพในด้านสุขภาพมากมายหลายประการ

3. การศึกษาด้าน ENERGY MEDICINE
     ENERGY MEDICINE เป็นการศึกษาวิจัยที่ว่าด้วยปรากฎการณ์พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่จีนเรียกว่าชี่ และการแพทย์แผนไทยและอินเดียเรียกว่าพลังปราณ ซึ่งพลังดังกล่าวเกิดจากการสั่นสะเทือนของอิเล็คตรอน รอบนิวเคลียร์ของอะตอม ในปัจจุบันเทคนิคภาพถ่ายออร่า KERLIAN PHOTOGRAPHY ทำให้สามารถถ่ายภาพออร่าของมนุษย์ได้ และเมื่อเปรียบเทียบก่อน และหลังการฝึก autogenic training จะพบว่าพลังออร่าเรียงเป็นระเบียบและมีพลังงานมากขึ้น

ขั้นตอนในการฝึก AUTOGENIC TRAINING
     การฝึก AUTOGENIC TRAINING จะมีขั้นตอนตามแนวทางการสะกดจิตเพียงแต่ผู้ฝึกจะเป็นผู้กำหนดให้ให้เกิดสภาวะต่าง ๆ ด้วยตนเอง และไม่ต้องให้ผู้อื่นมาทำหน้าที่สะกดจิตตน

1. การชักนำ (INDUCTION)
     ขั้นตอนนี้เป็นขบวนการทำให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย โดย RELAXATION TECHNIQUES อาทิเช่น การฝึกการหายใจอย่างถูกวิธี การผ่อนคลายกล้ามเนื้อเป็นขั้นตอน (PROGRESSIVE MUSCLE RELAXATION)

2. ทำให้จิตอยู่ในภวังค์ (Trance)
     ในขั้นตอนนี้จะเป็นช่วงที่สมองอยู่ในช่วงคลื่น ALPHA WAVE และจะอาศัยขบวนการวาดจินตนาการ (VISUALIZATION) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การวาดภาพการลงจากที่สูง เช่น จาก ลิฟท์ขั้นที่ 20 และ ค่อย ๆ ลงต่อจนถึงชั้นล่างสุด ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้จิตอยู่ในภวังค์ได้ง่าย

3. การป้อนโปรแกรมจิตใต้สำนึก (POST-HYPNOTIC SUGGESTIONS)
     ในขึ้นตอนนี้ผู้ฝึกจะสามารถป้อนโปรแกรมให้จิตใต้สำนึกทำงาน เพื่อพัฒนาตนเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่งหากกระทำได้อย่างเหมาะสมจะสามารถพัฒนาตนเองได้ภายในช่วงระยะเวลา 21-28 วัน

4. การยุติโปรแกรม (TERMINATION)
     เมื่อจะเลิกโปรแกรม AUTOGENIC TRAINING จะเริ่มต้นด้วยการนับเลขย้อนกลับ โดยนับจาก 1 – 10 และทำให้ร่างกายทุกส่วนตื่นตัว ซึ่งเมื่อสิ้นสุดโปรแกรมจะมีความรู้สึกสดชื่นแข็งแรงโดยทันที

คำถามเกี่ยวกับ AUTOGENIC TRAINING
     เนื่องจากขบวนการ AUTOGENIC TRAINING เป็นขบวนการสะกดจิตตนเองจึงมักจะมีคำถามบ่อยๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งต่อไปนี้จะได้รวบรวมคำถามที่วิทยากรของสถาบันฯ มักจะถูกถามอยู่เสมอ

คำถามที่ 1 การฝึก AUTOGENIC TRAINING มีอันตรายหรือไม่ ?

     การสะกดจิตตนเองโดยอาศัยวิธี AUTOGENIC TRAINING เป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูงมากขึ้นทั้งนี้เพราะจะใช้กลไกที่ปกติร่างกายจะมีเกิดขึ้นอยู่แล้ว ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าในการที่จะฝึกได้ผล สมองจะต้องอยู่ภายใต้การทำงานในระดับคลื่นอัลฟ่า ซึ่งภาวะนี้จะเกิดขึ้นเป็นปกติเมื่อเรานอนหลับทุกวันและในยามที่ฝันกลางวัน ในขบวนการฝึกในหลักสูตรกลยุทธสู่ความสุข ความสำเร็จ ทางสถาบันฯ ยังได้ใช้เครื่อง MIND MONITOR คอยประเมินว่า ผู้รับการอบรมจะเกิด
สัมฤทธิ์ในการฝึกหรือไม่และวิทยากรจะคอยให้คำแนะนำเพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมทุกคนปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ในภาวะของการสะกดจิตตนเองจะไม่มีผู้ใดที่ประสงค์จะกระทำในสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการนอกจากนี้ขบวนการ AUTOGENIC TRAINING ยังเป็นศาสตร์ที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายและมีผู้เคยผ่านการอบรมในลักษณะเช่นนี้มาแล้วหลายล้านคนทั่วโลก จึงเป็นการยืนยันถึงความปลอดภัยได้ดีเป็นอย่างยิ่ง

คำถามที่ 2 การฝึก AUTOGENIC TRAINING ด้วยตนเองจะมีประสิทธิภาพเหมือนกับถูกสะกดจิตโดยบุคคลอื่นหรือไม่ ?

     การฝึก AUTOGENIC TRAINING จะมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการถูกสะกดจิตโดยผู้เชี่ยวชาญ ถึงแม้ว่าการถูกสะกดจิตโดยผู้ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริงในบางกรณีอาจจะได้ผลดีกว่า แต่พึงระลึกไว้ด้วยว่าการปล่อยให้ถูกสะกดจิตโดยบุคคลอื่นที่ไม่มีความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริงอาจก่อให้เกิดอันตรายและผลข้างเคียงได้ นอกจากนี้การฝึก
AUTOGENIC TRAINING ด้วยตนเองยังสามารถฝึกปฏิบัติได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น และยังไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนแก่นักวิชาชีพสะกดจิตในบางครั้ง

คำถามที่ 3 การฝึก AUTOGENIC TRAINING เป็นประจำจะทำให้เป็นคนที่ถูกชักจูงได้ง่ายจริงหรือไม่ ?

     เนื่องจากการฝึก AUTOGENIC TRAINING เป็นการตอบสนองต่อการชักนำของตนเอง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ดีสำหรับตนเองที่จะเรียนรู้การควบคุมตนเองให้อยู่ในทิศทางที่ถูกต้องในขณะเดียวกันยังจะช่วยให้มีแรงต้านที่จะถูกผู้อื่นชักจูงไปในทิศทางที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามเมื่อผ่านการอบรมหลักสูตรนี้แล้วผู้เข้ารับการอบรมควรจะต้องมีความสนใจและรักที่จะฝึกต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอวันละอย่างน้อย 2-3 ครั้ง โดยใช้เวลาเพียงครั้งละประมาณ 5 นาทีเท่านั้น

คำถามที่ 4 ในช่วงฝึก AUTOGENIC TRAINING จะหมดสติหรือไม่ ?

     ในช่วงฝึกปฏิบัติแม้ว่าบางคนดูเสมือนว่าจะหลับไป แต่อันที่จริงแล้วยังมีสำนึกรับรู้อยู่ และจิตใต้สำนึกยังทำงานได้โดยอัตโนมัติ เช่นเดียวกับเวลาที่เราขับรถจิตใต้สำนึกจะคอยสั่งการให้เราถือพวงมาลัยเหยียบคันเร่งหรือเหยียบเบรคตามเส้นทางของถนนอย่างเหมาะสม

คำถามที่ 5 จะมีโอกาสไหมที่ภายหลังการเสร็จสิ้นการฝึกแล้วจะไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้ ?

     เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีผู้ใดถูกสะกดจิตให้หลับต่อเนื่องไปโดยตลอด เราต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการที่จะเข้าสู่ภวังค์หรือทำให้สมองอยู่ในระดับ อัลฟ่า แต่เป็นเรื่องที่ง่ายมากที่จะปล่อยให้ภาวะจิตกลับมาสู่ระดับปกติ อย่างมากที่สุดในบางคนอาจจะทำให้เกิดภาวะที่สู่การนอนหลับปกติและในที่สุดก็จะตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับเช่นเดียวกัน

คำถามที่ 6 ผู้ที่ฝึก AUTOGENIC TRAINING จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ?

     จากประสบการณ์การฝึกอบรมของวิทยากรพบว่าทุกคนที่ผ่านการฝึกอบรม AUTOGENIC TRAINING จะสามารถสื่อกับจิตใต้สำนึกได้ ซึ่งเครื่องมือ MIND MONITOR จะช่วยในการประเมินว่าผู้เข้ารับการอบรมจะสามารถฝึกจิตได้ประสบความสำเร็จหรือไม่ โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่าทุกคนภายใต้การควบคุมของวิทยากรจะประสบความสำเร็จได้ เพียงแต่บางคนจะ
ได้ผลเร็วหรือช้าต่างกันเท่านั้น

คำถามที่ 7 การสะกดจิตตนเองและการฝึกสมาธิแตกต่างกันหรือไม่ ?

     มีความแตกต่างกันบ้างทั้งนี้เพราะการฝึกสมาธิคือ การทำให้จิตรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแต่การสะกดจิตตนเองแบบ AUTOGENIC TRAINING จะส่งผลให้จิตใต้สำนึกมีภารกิจที่จะต้องกระทำ นอกจากนี้การตรวจคลื่นสมองในภาวะการสะกดจิตตนเองและการฝึกสมาธิ ที่สถาบันฯ ได้ ทำการศึกษาวิจัยปรากฎว่ามีความแตกต่างกันทั้งในรายละเอียดอย่างไรก็ตามในหลักสูตรนี้ผู้เข้ารับการอบรมยังได้ประโยชน์จากการฝึกสมาธิควบคู่ไปกับการฝึก AUTOGENIC TRAINING ด้วย

คำถามที่ 8 ในการที่ฝึก AUTOGENIC TRAINING จะกระทำได้เฉพาะผู้ที่มีความเชื่อเท่านั้นหรือไม่ ?

ไม่จำเป็นทั้งนี้เพราะการประสบความสำเร็จในการสื่อกับจิตใต้สำนึกไม่มีความสัมพันธ์แต่ประการใดเกี่ยวกับระดับความเชื่อของบุคคลนั้นๆ ปรากฏว่ามีบุคคลจำนวนมากที่ฝึกได้สำเร็จอย่างง่ายดายทั้งๆ ที่ไม่มีความเชื่อถือในเรื่องการสะกดจิตเลยแม้แต่น้อย

คำถามที่ 9 
ต้องใช้เวลามากน้อยแค่ไหนจึงจะประสบความสำเร็จและได้ประโยชน์จากการฝึก AUTOGENIC TRAINING?

การฝึกฝนเพื่อให้เกิดความชำนาญจะต้องกระทำอย่างสม่ำเสมอ หากผู้เข้ารับการอบรมนำเทคนิคที่ได้รับการแนะนำไปฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจะทำให้มีความชำนาญและจะใช้ระยะเวลาในแต่ละวันสั้นลงเรื่อยๆ โดยทั่วไปหากหวังผลที่จะเกิดขึ้นจากการฝึกมักจะประสบความสำเร็จชัดเจนภายในระยะเวลา 21 วัน เมื่อปฏิบัติต่อเนื่อง

คำถามที่ 10 หากมีปัญหาพร้อมๆ กันหลายเรื่องจะแก้ไขโดยการฝึก AUTOGENIC TRAININGได้ผลในทุกๆ เรื่องหรือไม่ ?

     ในกรณีที่มีปัญหาพร้อมกันหลายๆ เรื่องโดยทั่วไปควรทำการแก้ไขปัญหาทีละเรื่องโดยเริ่มจากปัญหาที่ง่ายที่สุดให้หมดไปทีละเรื่องจะได้ผลดีกว่า

การฝึก AUTOGENIC TRAINING
     ในการฝึก AUTOGENIC TRAINING ต้องอาศัยเทคนิคและขั้นตอน 5 ประการคือ การเตรียมการ การฝึกผ่อนคลาย การเข้าสู่ภวังค์ลึก การป้อนข้อมูลจิต และการยุติขบวนการฝึก ซึ่งจะได้กล่าวถึงในรายละเอียดต่อไป

1. การเตรียมการ
     ในการฝึก AUTOGENIC TRAINING ควรมีการวางแผน และวิจัยในการฝึกฝนอย่างที่สามารถจะกระทำได้อย่างต่อเนื่อง ควรเริ่มต้นโดยการเลือกเวลาที่เหมาะสมในการปฏิบัติ ควรเลือกช่วงเวลาที่ดีที่สุดในแตล่ ะวันที่จะไม่ออ่ นเพลียมากเกินไป และควรมีความตื่นตัวพอสมควรในการฝึกปฏิบัติ หากช่วงเช้าเป็นเวลาที่สะดวก อาจจะเริ่มฝึกเมื่อตอนตื่นนอนใหม่ๆ ก่อนลุกจากที่นอน หรือหากเวลาก่อนนอนเหมาะสมอาจใช้เวลาสั้นเพื่อช่วยให้หลับสบายดีขึ้น อย่างไรก็ตามควรเลือกเวลาที่ปราศจากการรบกวนจากบุคคลอื่นและสิ่งแวดล้อมภายนอกจะดีที่สุด ท่าที่ใช้ในการฝึกอาจเป็นท่านั่งหรือท่านอนในอิริยาบทที่สบายก็ได้ และหากมีเสียงรบกวนอาจใช้อุปกรณ์ปิดหู เพื่อให้เกิดความสงบมากขึ้นก็ได้ นอกจากนี้การใช้เสียงเพลงที่เหมาะสมและการให้กลิ่นหอมบางชนิดอาจมีผลช่วยทำให้การฝึกปฏิบัติง่ายขึ้น

2. การฝึกผ่อนคลาย

     เป็นขั้นตอนที่สองซึ่งต้องฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิดการผ่อนคลายของทุกส่วนของร่างกายและขจัดความเครียดออกไป โดยปกติจะเริ่มฝึกโดยการฝึกหายใจเข้าออกลึกๆ 2-3 ครั้ง ซึ่งในหลักสูตรนี้จะได้มีการฝึกฝนตามแนวหัตธาโยคะ (Hatha Yoga) ทุกครั้งที่หายใจออกให้วาดจินตนาการว่าความเครียดกำลังถูกขจัดออกไปทุกลมหายใจออกในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทุกส่วนของร่างกาย จะเริ่มจากบริเวณศีรษะลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปลายแขนและเท้า การเกร็งกำลังกล้ามเนื้อและคลายออกเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เกิดการผ่อนคลายได้เร็วขึ้น ขั้นตอนนี้มีความสำคัญในการฝึก AUTOGENIC TRAINING อย่างมากและบางคนอาจใช้เวลาแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และความชำนาญ ซึ่งบางครั้งก็ใช้เวลานานถึงครึ่งชั่วโมง ในขณะที่บางคนใช้เวลาเพียง 2-3 วินาทีเท่านั้น

3. การเข้าสู่ภวังค์ลึก

     เป็นขบวนการที่จะเกิดขึ้นหลังจากการฝึกผ่อนคลายแล้ว จิตจะเข้าสู่ภวังค์ลึกพร้อมรับการป้อนข้อมูล ในการฝึกขึ้นตอนนี้การนับจำนวนเลขจากมากมาหาน้อยจะเป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดการวาดจินตภาพที่ดีจะทำให้จิตเข้าสู่ภวังค์ได้ดีขึ้น การวาดภาพลงจากลิฟท์หรือลงจากบันไดจะเป็นเทคนิคที่ช่วยเข้าสู่ภวังค์ได้เร็ว ในหลักสูตรนี้วิทยากรจะได้แนะนำเทคนิคที่ช่วยชักนำให้ผู้เข้ารับการอบรมให้เข้าสู่ภวังค์ได้ลึกพอเพียง

4. การป้อนข้อมูลจิต

     เป็นขบวนการที่จะกระทำได้ต่อเมื่อสมองอยู่ในระดับอัลฟ่าและอยู่ในภวังค์ลึกพอที่จะป้อนข้อมูลให้จิตใต้สำนึกได้ง่าย ข้อความที่ใช้ควรเป็นข้อความที่กระทัดรัดเข้าใจได้ง่ายและจดจำได้ไม่ยากนัก ควรเป็นข้อความที่ระบุสรรพนามของตนเองและกำหนดให้อยู่ในปัจจุบันและไม่ใช้ข้อความในเชิงปฏิเสธ การเลือกข้อความมีความสำคัญที่จะทำให้เห็นผลเร็ว และถ้าหากใช้ข้อความ ดังกล่าวแล้วไม่เห็นผลควรจะเปลี่ยนมาใช้ความใหม่แทน ในหลักสูตรนี้วิทยากรผู้เชี่ยวชาญจะให้คำปรึกษาในการหาข้อความที่เหมาะสมสำหรับปัญหาแต่ละบุคคล นอกจากนี้การใช้จินตภาพหรือการคิดเป็นภาพก็เป็นการป้อนข้อมูลให้ประทับลงสู่จิตใต้สำนึกได้อย่างแน่นแฟ้นและได้ผลดี เช่นกัน ซึ่งการป้อนข้อมูลในแต่ละครั้งควรมีทั้งข้อความและจินตภาพพร้อมกันจะได้ผลดีที่สุด

5. การยุติขบวนการฝึกจิต

ซึ่งควรจะทำเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการฝึก AUTOGENIC TRAINING ไม่ควรเพียงแต่จะเปิดตาและลุกไปเลย การยุติขบวนการฝึก เป็นขั้นตอนจะทำให้สามารถแยกแยะระดับของจิตที่อยู่ในภวังค์ กับภาวะที่มีสติสัมปชัญญะได้อย่างชัดเจน ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นการปลุกให้ตื่นจากภวังค์นั่นเองในกรณีที่ฝึก AUTOGENIC TRAINING ก่อนนอนและหลับต่อจากนั้นก็ยังควรที่จะแยกให้ออกจากภาวะการสะกดจิตแล้วเข้าสู่ภาวะนอนหลับตามธรรมชาติ การทำเช่นนี้จะช่วยหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการนอนหลับเป็นนิสัยเมื่อฝึก โดยทั่วไปเมื่อเสร็จสิ้นการฝึกควรกำหนดจิตว่าจะตื่นตัวเต็มที่เมื่อนับขึ้นจาก 1 ถึง 5 หรือ10 ยกเว้นในยามนอนอาจกำหนดให้เข้าสู่ภาวะการนอนหลับเป็นธรรมชาติเมื่อสิ้นสุดการนับก็ได้

ขั้นตอนการฝึก (AUTOGENIC TRAINING)
1. ฝึกปราณ
2. เกร็งกำลัง
3. ผ่อนคลาย
4. จินตนาการว่ากำลังลงจากที่สูงโดยนับถอยหลังจาก 20-0
5. ป้อนข้อมูลให้จิตใต้สำนึก (ในสิ่งที่ท่านปรารถนา)
6. ปลุกให้ตื่น
1-2-3 แขนขามีกำลังกลับคืนมา
4-5-6 ทั่วทั้งร่างกายมีกำลังกลับคืนมา
7-8-9 สมองสดชื่นแจ่มใส จิตใจเบิกบาน
เมื่อได้ยินเสียงนับ 10 ให้ตื่นลืมตาขึ้นสมอง สดชื่นแจ่มใส

กฎ 10 ประการ
สำหรับป้อนข้อมูลให้จิตใต้สำนึก

1. ใช้คำสั่งที่เป็นปัจจุบันกาล (ไม่ใช้คำว่า “จะ”)
2. ต้องเป็นคำสั่งเชิงบวก (ไม่ใช้คำว่า “ไม่”)
3. ควรป้อนข้อมูลให้กับจิตฯ ครั้งละ 1 ไม่เกิน 3 คำสั่ง
4. มีรายละเอียดบ้างตามสมควร มีความหมายตรงๆ
5. ใช้คำพูดง่ายๆ ไม่กำกวม
6. ใช้คำพูดที่ตื่นเต้น มีชีวิตชีวา และประทับใจ
7. ข้อมูลที่ป้อนให้กับจิตใต้สำนึก ควรมีความเป็นไปได้
8. การป้อนข้อมูลต้องป้อนให้กับตนเอง และคนใกล้ชิดเท่านั้น
9. ข้อมูลที่ป้อนต้องประกอบด้วยสัมผัสทั้ง 5 (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) จะได้ผลเร็ว
10. ควรป้อนข้อมูลขณะที่ฝึก AUTOGENIC TRAINING ในขั้นตอนที่ 5 ขณะที่อยู่ในอัลฟา

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

เป้าหมายคือทุกอย่าง

สุดยอดสัมนาครั้งต่อไป มีนาคม 2013 สนใจโทร คุณพิมพ์สิริ 083 018 9430 


AutoGenic สัญจร เชียงใหม่

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2555 เวลา 09.00-23.00 น.

สถานที่ โรงแรมบีพี เชียงใหม่ ซิตี้ (ใกล้วัดพระสิงห์)

คุณเคยกลัวว่าตัวเองจะไม่ประสบความสำเร์จในชีวิตมั้ย?
คุณจิตนาการภาพความสำเร็จของคุณไม่ออกใช่รึเปล่า?
คุณกำลังลังเลไม่แน่ใจว่าตัวเองจะสำเร็จเหมือนคนอื่นที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้มั้ย?
คุณกำลังรู้สึกว่าคุณไม่เก่งเหมือนคนอื่น...
คุณคิดว่าการหาคนที่คิดเหมือนคุณ มีเป้าหมายใหญ่เหมือนคุณมันช่างยากเย็น...

ขจัดความรู้สึกเหล่านี้ออกไปฃะด้วย Autogenic Training

นี่คือคำตอบ...ของความสุขในชีวิตอย่างแท้จริง

"สุดยอดยอดคอร์สการโปรแกรมจิตแบบที่คนสำเร็จทุกคนรู้ แต่ไม่เคยบอก"

อบรม วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2555 เวลา 09.00-23.00 น
รวมค่าอาหาร 2 มื้อ คอฟฟี่เบรก ๅ เบรก

คอร์สมูลค่ามากกว่า 5000 บาท ในราคาพิเศษที่หาไม่ได้อีกแล้ว
ในราคาเพียงท่านละ 1000 บาท เท่านั้น

ปล สำหรับเด็กตั้งแต่ 12-15 ปี ราคาพิเศษ 800 บาท/ท่าน

ด่วนจำนวนจำกัดแค่ 100 ท่านแรกเท่านั้น

โทร คุณพิมพ์สิริ 083 018 9430  คุณธนพนธ์ 090 798 3374


"กูจะทำอะไรก็ได้บนโลกนี้ เพราะกูเก่งที่สุดในโลก!!" ... สมคิด ลวางกูร บุคคลพลิกชีวิต จากเด็กวัด แย่งหมากิน สู่บุคคลชั้นนำของประเทศ ผ่านหายนะหลายต่อหลายครั้ง แต่ชีวิตนี้ลิขิตได้ด้วยเป้าหมายชีวิต มีหลักการคิดอย่างไร ต้องดู!!! ,

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

รีวิว: หนังสือ Steve Jobs by Walter Isaacson


รีวิว: หนังสือ Steve Jobs by Walter Isaacson


ขอบคุณข้อมูลจาก  http://www.khajochi.com

 

มือ 2 ราคา 700.00 บาท รวมส่งพัสดุลงทะเบียนจากเชียงใหม่
ติดต่อ พงศ์ศักดิ์ 081 617 2116 หรือ 
E-mail:  neomart@gmail.com
โอนเงินผ่านธนาคาร ในนาม พงศ์ศักดิ์ และ 
EMS การโอนที่ 081 617 2116


กรุงเทพ 252 441 0442
กสิกร 103 292 7676

สตีฟ จ็อบส์ เป็นมนุษย์ลึกลับ ในระดับที่เข้าใจได้ยาก นอกจากจะเป็นซีอีโอที่ดังที่สุดในยุคสมัยนี้แล้ว เราก็แทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจ็อบส์อีกเลย สิ่งที่หนังสือหลายสิบเล่มอธิบายเกี่ยวกับประวัติของเขา ความคิดของเขา ล้วนแล้วแต่เอามาจากการสัมภาษณ์บุคคลอื่นๆ เพราะนอกจากงาน WWDC, Macworld, Time, Newsweek, AllThingD และ สุนทรพจน์ที่ Stanford แล้ว เราก็ไม่เคยได้เห็นจ็อบส์ในสื่ออื่นอีกเลย

จ็อบส์เป็นคนเก็บตัวขนาดไหน ก็สะท้อนมาที่บริษัทของเขา คือแอปเปิลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสุดยอดแห่งการเก็บความลับมาโดยตลอด แต่แล้วอยู่ดีๆ ก็มีหนังสือที่กลายเป็นเหมือนมรดกสุดท้ายที่จ็อบส์ฝากเอาไว้ก่อนตาย หนังสือเล่มเดียวที่เราจะได้ฟังทุกเรื่องในชีวิตของสตีฟ จ็อบส์ จากปากของเขาเอง



ที่มาของหนังสือ

ผู้ชายที่ไม่เคยเปิดเผยเรื่องส่วนตัวมาตลอด 56 ปีที่มีชีวิต อยู่ดีๆ จะมาทำหนังสือของตัวเองเล่มแรก (และเล่มเดียว) ทำไม ?

หนึ่งเลยคือจ็อบส์รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย และสองคือเค้าอยากบันทึกความเป็นตัวตนของเขาให้กับลูกๆ ได้รับรู้ ว่าจริงๆ แล้วพ่อของเขาเป็นคนยังไง แบบเดียวกับที่ศาสตราจารย์แรนดี เพาช์เจ้าของหนังสือ The Last Lecture ทำไว้ (ซึ่งบังเอิญว่าทั้งสองคนตายด้วยโรคเดียวกัน)

จ็อบส์ติดต่อกับ Walter Isaacson เพื่อให้มาเขียนหนังสือชีวประวัติของตัวเขาเองมานานหลายปี ซึ่ง Isaacson ก็ปฏิเสธมาโดยตลอด จนวันนึงที่จ็อบส์ล้มป่วยลง และภรรยาของเขาก็บอกว่า "ถ้าคุณยังอยากจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับเขาแล้วล่ะก็ คุณควรจะรีบทำได้แล้ว"




หนังสือเล่มนี้จะบอกอะไรบ้าง ?

  • จ็อบส์เองก็ใจกว้างพอที่จะเปิดเผยทุกเรื่องแบบหมดเปลือกจริงๆ รวมทั้งไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับขั้นตอนการผลิตหนังสือเล่มนี้ ไม่แม้แต่จะขออ่านรีวิวก่อนตีพิมพ์ด้วยซ้ำ ซึ่งแปลกประหลาดมากสำหรับคนที่ใส่ใจในรายละเอียดขนาดนี้
  • Issacson เก่งมากในการสัมภาษณ์บุคคล และกล่อมให้เขายอมพูดความรู้สึกที่แท้จริงออกมาได้ เช่นการที่ Johny Ive ยอมบอกว่าเขารู้สึกแย่ที่จ็อบส์ขโมยเครดิตหลายอย่างไปเป็นของตัวเอง
  • นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้สิทธิ์พิเศษในการขอเข้าสัมภาษณ์ตัวละครสำคัญ เช่น
    • คนสำคัญอย่าง บิลเกตส์, Paul Otellini ซีอีโออินเทล, Steve Wozniak ผู้ร่วมก่อตั้งแอปเปิล
    • คนในครอบครัว, Chrisann Brennan อดีตภรรยา, Lisa ลูกสาวนอกสมรสคนแรก หรือแม้แต่ Jandali พ่อที่แท้จริงของจ็อบส์
    • ทีมงานในบริษัทแอปเปิล ไล่ตั้งแต่ Tim Cook, Johny Ive ไปจนถึงอดีตพนักงานหลายคน
    • และตัวสตีฟ จ็อบส์เอง แม้ในยามที่ป่วยใกล้ตาย
  • ในบางช่วง หนังสือก็ฉลาดพอที่จะไม่เรียบเรียงคำพูดของจ็อบส์ แต่กลับถอดเทปนำสิ่งที่จ็อบส์พูดออกมาทั้งดุ้นเลย
  • มันไม่ใช่หนังสือประวัติของบุคคล แต่ยังรวบรวมเหตุการณ์ ที่มาที่ไป ความขัดแย้ง เบื้องลึกเบื้องหลังของ iPhone, iPod, iPad, Pixar ฯลฯ
  • จากที่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับสตีฟ จ็อบส์แทบทุกเล่มที่มี ผมเคยคิดว่าตัวเองรู้จักจ็อบส์เป็นอย่างดีแล้ว แต่หลังจากได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็พบว่า ที่เคยคิดว่ารู้ มันแค่ 30% เท่านั้น





บริหารงานแบบสตีฟ จ็อบส์

  • ถ้าคุณเคยเห็นรูปผังองค์กรของแอปเปิลที่มีคนแซวว่าแอปเปิลบริหารงานแบบมีจ็อบส์อยู่ตรงกลางคนเดียวทั้งบริษัท .. นั่นไม่ใช่เรื่องล้อเลียน แต่เป็นความจริง
  • จ็อบส์เข้าไปดูแลทุกสิ่งทุกอย่างในบริษัท ไล่ตั้งแต่ออกไอเดียในสินค้า การขนส่ง กล่องใส่สินค้า พนักงานขาย ไปจนถึงวัสดุที่ทำประตูใน Apple Store
  • จะมี CEO คนไหนที่ออกแบบบันไดในร้านขายของตัวเอง
  • คุณไม่สามารถบริหารงานแบบจ็อบส์ได้ ที่จ็อบส์ทำได้เพราะเขาเป็นอัจฉริยะ (ต้องใช้คำนี้จริงๆ) และ 90% ของสิ่งที่เขาตัดสินใจมักจะถูก
  • ความสามารถพิเศษจริงๆ ของจ็อบส์คือการพูด ที่กล่อมคนให้เชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อได้ จนบางดีลก็แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้น
    • กล่อม 5 ค่ายเพลงใหญ่ให้มาขายเพลงที่ iTunes Store ได้
    • ปลุกใจทีมงานให้ยอมทิ้งโปรเจ็คไอโฟนที่ทำมาเกือบปีลง แล้วเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ศุนย์อีกครั้ง
    • โน้มน้าวจนบอร์ดบริหารจนยอมสร้างร้าน Apple Store ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะเจ๊งหรือเปล่า







ตัวตนของสตีฟ จ็อบส์

  • จ็อบส์เป็นคนพื้นเพไม่ดีเท่าไหร่ ต้องอยู่กับพ่อแม่บุญธรรมแต่เด็ก 
  • เป็นคนปากเสียมาก ด่าเจ็บ ไม่ยอมใคร ขี้งก กวนตีน แค้นฝังใจเจ็บ ขี้โมโห เอาแต่ใจ ทั้งเล่มจะได้เจอแต่ Fuck กับ Shit
  • แต่ก็เป็นคนที่เอาความรักเข้ามาโยงกับงานอย่างมาก ใส่ใจในทุกรายละเอียด ลึกจนถึงขั้นบินไปเลือกไม้ที่จะมาทำโต๊ะในร้าน Apple Store ด้วยตัวเอง
  • เคยทำผิดมามากมาย ถึงจะไม่ยอมรับสิ่งที่ผิดในช่วงแรก แต่ก็มักจะกลับมานั่งคิดแล้วก็ยอมรับว่าตัวเองผิดในภายหลัง
  • รักครอบครัวมาก หวงความเป็นส่วนตัวของภรรยาและลูกๆ จนไม่น่าเชื่อ
  • รักความเรียบง่าย เชื่อในศาสตร์แห่งเซน ถึงขนาดสั่งลื้อเครื่องบินส่วนตัวเพื่อให้ปุ่มเปิดปิดประตู มีแค่ปุ่มเดียว ไม่ใช่สองปุ่ม
  • อินกับสิ่งทีทำมาก ถึงกับร้องไห้ออกมาตอนที่รู้ว่า iMac เครื่องแรกมีถาดใส่ CD (ซึ่งเขาไม่อยากให้มี), ร้องไห้กับโฆษณา Think Different, ร้องไห้กับชีวิตในอดีตของตัวเอง



สรุป

Steve Jobs by Walter Isaacson เป็นหนังสือที่ควรอ่าน ไม่ว่าคุณจะชื่นชอบไอที (แมค, ไอโฟน, ไอแพด), ดนตรี (ไอพอด, ไอทูน), ภาพยนตร์ (พิกซาร์) หรือไม่ก็ตามที สิ่งที่คุณจะได้มากกว่านั้นคือความทุ่มเททั้งตัวและใจให้กับงาน ความเชื่ออย่างสุดใจในสิ่งที่ทำ ธุรกิจ ความขัดแย้ง ความฉลาดสุดล้ำ และความโง่อย่างไม่น่าเชื่อของชายคนที่เหมาะกับคำว่า Visionary มากที่สุดในยุคนี้ .. สตีฟ จ็อบส์






:: รวม Note ที่จดไว้ระหว่างอ่านหนังสือ Steve Jobs ::


กำเนิดไอโฟน - จากหนังสือ Steve Jobs

โพสต์ครั้งแรกที่ Google+
จากหนังสือบทที่ 36 - the iPhone

เลือกอ่านบทนี้ก่อนเลยเพราะผมอ่านอดีตของจ๊อบส์มาจนเอียนแล้ว แต่อยากรู้เบื้องหลังสินค้าที่ทำให้แอปเปิลรวยที่สุดในโลกได้ (ก่อนมีไอโฟนนี่แอปเปิลเงินน้อยนะ)


  • ปี 2005 iPod ขายดีโคตร แต่จ็อบส์เริ่มกลัวเพราะรายได้ 45% มาจาก iPod + iTunes เขามองไว้แล้วว่าวันนึงโทรศัพท์ทุกเครื่องจะมาแทน iPod
  • ไปร่วมมือทำมือถือกับ Motorola สุดท้ายได้รุ่น RAZR ออกมา และห่วยระเบิด เพราะแอปเปิลไม่ได้ทำ HW เอง ทำแค่ iTunes .. "I'm sick of dealing with these stupid companies like Motorola"
  • คืนหนึ่ง วิศวกรของไมโครซอฟท์ฉลองวันเกิดครบ 50 ปี พอดีสนิทกับภรรยาของจ็อบส์ ก็เลยชวนจ็อบส์และบิลเกตส์ก็มางานด้วย ปรากฏเฮียแกโชว์ Microsoft Tablet PC มากไปหน่อยจนจ็อบส์รำคาญ เช้าวันต่อมาเลยไปที่ออฟฟิศและบอกทีมงานว่า "เราจะทำแท็บเล็ต !!"
  • ในตอนนั้น (2005) แอปเปิลเลยมีโครงการลับ 2 อัน 1. iPhone ที่ใช้ Click Wheel กับ 2. Tablet ที่ใช้จอ Multi-Touch
  • ทีมงานพบว่าการเอา Click Wheel มาใช้กับโทรศัพท์นี่เป็นไอเดียที่แย่มาก โดยเฉพาะตอนจะโทรออกแบบกดทีละเบอร์ 
  • Jony Ive มองออกว่า Multi-Touch เป็นทางออก เลยค่อยๆ ทำอุปกรณ์ตัวอย่างจนเกือบเสร็จแล้วไปโชว์ให้จ็อบส์ดู มันดูดีมากจนจ็อบส์บอกว่า "This is the future"
  • จ็อบส์สั่งหยุดโครงการแท็บเล็ตไปก่อน แล้วเดินหน้าไอโฟนเต็มร้อย
  • แต่โครงการ iPhone Click Wheel ก็ยังคงทำต่อไป ตอนนี้เลยทำสองไอโฟนคู่กันคือ Click Wheel กับ Multi-Touch (codename P1 และ P2)
  • แอปเปิลไปแอบซื้อบริษัท FingerWorks เงียบๆ เพราะบริษัทนี้แหล่ะที่มีสิทธิบัตร Multi-Touch อยู่ (และก็ใช้ฟ้องชาวบ้านอยู่ตอนนี้)
  • 6 เดือนผ่านไป ทุกคนลงความเห็นว่า Click Wheel ไม่เวิร์ค ตอนนี้เลยเหลือแค่ไอโฟน Multi-Touch ที่เดินหน้าเต็มสูบ
  • ปัญหาหลักคือจ็อบส์เกลียดพลาสติก และอยากได้จอที่เป็นกระจก เพราะทำให้รู้สึกดีกว่า (สมัยนั้นจอโทรศัพท์หรือแม้แต่ iPod เป็นพลาสติกหมด)
  • จ็อบส์ใช้เส้นสายจนไปได้บริษัท Corning Glass ใน NY หาวิธีทำกระจกแบบพิเศษให้จนสำเร็จ เรียกกันว่า "Gorilla Glass"
  • ปี 2006 ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีจนเกือบเสร็จ กว่า 9 เดือนของโครงการนี้ แต่เช้าวันนึงจ็อบส์ก็เดินมาบอก Ive ว่า เขานอนไม่หลับเมื่อคืนนี้ เพราะในที่สุดก็รู้สึกได้ว่ามันยังไม่ใช่ดีไซน์ที่ถูกต้อง และต้องการยกเลิกสิ่งที่ทำมา 9 เดือนและเริ่มใหม่หมด
  • ดีไซน์แรกของไอโฟน คือมีเคสเป็นอะลูมิเนียมแต่มีขนาดใหญ่คลุมมาถึงหน้าเครื่อง และจอมีขนาดเล็กเกินไป (หนังสือไม่ได้มีรูปให้ดู)
  • จ็อบส์โชว์เทพปลุกใจทีมงานทุกคนว่า "We're all going to work nights and weekend", "It was one of my prodest moment at Apple"
  • จ็อบส์เข้าไปดูทุกอย่าง และเป็นคนตัดสินใจเรื่องสำคัญอย่างการใช้ sensor เปิดปิดเครื่องเวลาเอาแนบหู, แบตที่เปลี่ยนไม่ได้, กดลากเพื่อเปิดล็อก (Swipe to Open)
  • ในที่สุดไอโฟนก็ได้เปิดตัวในงาน Macworld ปี 2007 จ็อบส์เชิญทีมงานทุกคนที่เคยทำ Macintosh เมื่อปี 1984 มาด้วย รวมทั้ง Steve Wozniak
  • ปัจจุบันไอโฟนเป็นมือถือที่ขายดีที่สุดในโลก ทำกำไรมากกว่าครึ่งหนึ่งของโทรศัพท์ทุกยี่ฮ้อรวมกัน




ดราม่า A Bug's Life vs Antz


โพสต์ครั้งแรกที่ Google+
จากหนังสือ Steve Jobs บทที่ 33 Pixar's Friend

เมื่อปี 1994 ผมจำได้ว่าหลังจากที่การ์ตูนเรื่อง Toy Story เข้าฉาย ตอนนั้นก็ตื่นเต้นกับการได้ดูการ์ตูนแอนิเมชันจากคอมพิวเตอร์มาก และเฝ้ารอดูเรื่องต่อมา ซึ่งต่อมาไม่นานก็มีหนังการ์ตูนเข้าพร้อมๆ กันถึง 2 เรื่อง คือ Antz และ A Bug's Life

ความรู้สึกแปลกใจตะหงิดๆ เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า ทำไมอยู่ดีๆ ถึงมีการ์ตูนที่ทำจากคอมพิวเตอร์เข้าพร้อมกัน แถมเนื้อเรื่องคล้ายกันคือเกี่ยวกับมดและแมลงได้ล่ะหว่า แต่ก็ช่างเถอะ ดูมันทั้ง 2 เรื่องเลยละกัน

13 ปีต่อมา หลังจากที่ได้อ่านหนังสือ Steve Jobs by Walter Isaacson ก็ได้ถึงบางอ้อว่า จริงๆ แล้วมันมีความดราม่าซับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่เบื้องหลัง จนไม่น่าเชื่อว่าอะไรมันจะซับซ้อนขนาดนี้(วะ)เนี่ย

  • John Lasseter หลังจากที่สร้าง Toy Story เสร็จแล้ว ก็มีไอเดียที่เขาคิดอยากจะสร้างมานาน คือการ์ตูนที่เกี่ยวกับมดและแมลง เพราะมันไม่เคยมีใครสร้างมาก่อน
  • ในช่วงเวลาเดียวกัน Jeffrey Katzenberg โปรดิวเซอร์ชื่อดังของดิสนีย์ (Disney) แต่มีปัญหากับผู้บริหาร จนสุดท้ายโดนขับไล่ออกมาในปี 1994
  • Katzenberg แค้นดิสนีย์มาก จนต้องมาจับมือกับ Steven Spielberg สร้างค่ายหนังดรีมเวิร์คส์ (Dream Works) และหนังเรื่องแรกของค่ายคือการ์ตูน The Prince of Egypt เพื่อกลับมาล้างแค้นดิสนีย์เจ้าพ่อการ์ตูนในเวลานั้น
  • Lasseter มีความสนิทสนมกับ Katzenberg อยู่พอสมควร วันหนึ่งทั้งคู่ได้มาพบกัน และก็ถามไถ่โครงการที่กำลังสร้างกันอยู่ ซึ่ง Lasseter ก็เล่าไอเดียเกี่ยวกับ A Bug's Life ออกไปแบบไม่ได้คิดอะไร
  • 2 ปีต่อมา Lasseter แอบได้ยินข่าวลือที่ว่าดรีมเวิร์คส์กำลังซุ่มทำแอนิเมชันจากคอมพิวเตอร์ โดยเนื้อเรื่องเกี่ยวกับมดและแมลง
  • Lasseter โกรธมาก โทรไปด่า Katzenberg จนเสียหมา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เรื่องมาถึงหูสตีฟ จ็อบส์ซึ่งแน่นอนตามไล่ด่าพ่อ Katzenberg อยู่นาน จนในที่สุดความจริงก็ปรากฏว่าต้นเหตุของเรื่องนี้ มีที่มาจากตัวละครที่ชื่อดิสนีย์
  • คือเมื่อดิสนีย์ได้ยินว่าดรีมเวิร์คส์จะทำการ์ตูน Prince of Egypt ออกมาเพื่อล้างแค้นตน จึงออกอุบายเด็ด โดยการจัดให้การ์ตูน A Bug's Life ของ Pixar ไปกำหนดฉายชนกัน เข้าโรงวันเดียวกันซะเลย เพื่อไม่ให้ดรีมเวิร์คส์ได้ผุดได้เกิด (ซึ่งตามปกติแล้วหนังประเภทการ์ตูนจะเลี่ยงไม่เข้าโรงพร้อมกัน)
  • พอเป็นอย่างนี้ ก็เลยทำให้ Katzenberg ต้องหันมาสร้าง Antz ขึ้นมาตัดขา Pixar และดิสนีย์อีกรอบ ด้วยการทำการ์ตูนที่เนื้อเรื่องคล้ายกัน สร้างจากคอมพิวเตอร์เหมือนกัน แต่ออกมาฉายก่อน A Bug's Life เพียงแค่ 1 เดือน
  • Katzenberg ให้เงื่อนไขกับสตีฟจ็อบส์ว่า เขาสามารถหยุดโครงการ Antz ได้ ถ้าจ็อบส์ยอมไปสั่งให้ดิสนีย์เลื่อนวันฉาย A Bug's Life ออกไปไม่ให้ชนโรงกับ Prince of Egypt (คือเอาหนังมาเป็นเครื่องมือต่อรองกันนี่เอง)
  • แน่นอนว่าคนอย่างจ็อบส์เหรอจะยอมกับเรื่องแบบนี้ สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครยอมใคร หนังทั้ง 3 เรื่องเลยเข้าโรงชนกันสะบั้นหั่นแหลก
  • ใครชนะ ? สมัยนั้นออสการ์ยังไม่มีรางวัลสำหรับการ์ตูนแอนิเมชัน ก็คงต้องตัดสินกันที่รายได้แทน
    • Antz : $171.8 ล้านเหรียญ
    • Prince of Egypt : $218.6 ล้านเหรียญ
    • A Bug's Life : $363.3 ล้านเหรียญ
ดราม่าเอย จงซับซ้อนขึ้นไปอีก ...



สตีฟ จ็อบส์ เป็นมนุษย์ลึกลับ ในระดับที่เข้าใจได้ยาก นอกจากจะเป็นซีอีโอที่ดังที่สุดในยุคสมัยนี้แล้ว เราก็แทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจ็อบส์อีกเลย สิ่งที่หนังสือหลายสิบเล่มอธิบายเกี่ยวกับประวัติของเขา ความคิดของเขา ล้วนแล้วแต่เอามาจากการสัมภาษณ์บุคคลอื่นๆ เพราะนอกจากงาน WWDC, Macworld, Time, Newsweek, AllThingD และ สุนทรพจน์ที่ Stanford แล้ว เราก็ไม่เคยได้เห็นจ็อบส์ในสื่ออื่นอีกเลย

จ็อบส์เป็นคนเก็บตัวขนาดไหน ก็สะท้อนมาที่บริษัทของเขา คือแอปเปิลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสุดยอดแห่งการเก็บความลับมาโดยตลอด แต่แล้วอยู่ดีๆ ก็มีหนังสือที่กลายเป็นเหมือนมรดกสุดท้ายที่จ็อบส์ฝากเอาไว้ก่อนตาย หนังสือเล่มเดียวที่เราจะได้ฟังทุกเรื่องในชีวิตของสตีฟ จ็อบส์ จากปากของเขาเอง



ที่มาของหนังสือ

ผู้ชายที่ไม่เคยเปิดเผยเรื่องส่วนตัวมาตลอด 56 ปีที่มีชีวิต อยู่ดีๆ จะมาทำหนังสือของตัวเองเล่มแรก (และเล่มเดียว) ทำไม ?

หนึ่งเลยคือจ็อบส์รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย และสองคือเค้าอยากบันทึกความเป็นตัวตนของเขาให้กับลูกๆ ได้รับรู้ ว่าจริงๆ แล้วพ่อของเขาเป็นคนยังไง แบบเดียวกับที่ศาสตราจารย์แรนดี เพาช์เจ้าของหนังสือ The Last Lecture ทำไว้ (ซึ่งบังเอิญว่าทั้งสองคนตายด้วยโรคเดียวกัน)

จ็อบส์ติดต่อกับ Walter Isaacson เพื่อให้มาเขียนหนังสือชีวประวัติของตัวเขาเองมานานหลายปี ซึ่ง Isaacson ก็ปฏิเสธมาโดยตลอด จนวันนึงที่จ็อบส์ล้มป่วยลง และภรรยาของเขาก็บอกว่า "ถ้าคุณยังอยากจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับเขาแล้วล่ะก็ คุณควรจะรีบทำได้แล้ว"



[Spoil]
หนังสือเล่มนี้จะบอกอะไรบ้าง ?

  • จ็อบส์เองก็ใจกว้างพอที่จะเปิดเผยทุกเรื่องแบบหมดเปลือกจริงๆ รวมทั้งไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับขั้นตอนการผลิตหนังสือเล่มนี้ ไม่แม้แต่จะขออ่านรีวิวก่อนตีพิมพ์ด้วยซ้ำ ซึ่งแปลกประหลาดมากสำหรับคนที่ใส่ใจในรายละเอียดขนาดนี้
  • Issacson เก่งมากในการสัมภาษณ์บุคคล และกล่อมให้เขายอมพูดความรู้สึกที่แท้จริงออกมาได้ เช่นการที่ Johny Ive ยอมบอกว่าเขารู้สึกแย่ที่จ็อบส์ขโมยเครดิตหลายอย่างไปเป็นของตัวเอง
  • นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้สิทธิ์พิเศษในการขอเข้าสัมภาษณ์ตัวละครสำคัญ เช่น
    • คนสำคัญอย่าง บิลเกตส์, Paul Otellini ซีอีโออินเทล, Steve Wozniak ผู้ร่วมก่อตั้งแอปเปิล
    • คนในครอบครัว, Chrisann Brennan อดีตภรรยา, Lisa ลูกสาวนอกสมรสคนแรก หรือแม้แต่ Jandali พ่อที่แท้จริงของจ็อบส์
    • ทีมงานในบริษัทแอปเปิล ไล่ตั้งแต่ Tim Cook, Johny Ive ไปจนถึงอดีตพนักงานหลายคน
    • และตัวสตีฟ จ็อบส์เอง แม้ในยามที่ป่วยใกล้ตาย
  • ในบางช่วง หนังสือก็ฉลาดพอที่จะไม่เรียบเรียงคำพูดของจ็อบส์ แต่กลับถอดเทปนำสิ่งที่จ็อบส์พูดออกมาทั้งดุ้นเลย
  • มันไม่ใช่หนังสือประวัติของบุคคล แต่ยังรวบรวมเหตุการณ์ ที่มาที่ไป ความขัดแย้ง เบื้องลึกเบื้องหลังของ iPhone, iPod, iPad, Pixar ฯลฯ
  • จากที่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับสตีฟ จ็อบส์แทบทุกเล่มที่มี ผมเคยคิดว่าตัวเองรู้จักจ็อบส์เป็นอย่างดีแล้ว แต่หลังจากได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็พบว่า ที่เคยคิดว่ารู้ มันแค่ 30% เท่านั้น





บริหารงานแบบสตีฟ จ็อบส์

  • ถ้าคุณเคยเห็นรูปผังองค์กรของแอปเปิลที่มีคนแซวว่าแอปเปิลบริหารงานแบบมีจ็อบส์อยู่ตรงกลางคนเดียวทั้งบริษัท .. นั่นไม่ใช่เรื่องล้อเลียน แต่เป็นความจริง
  • จ็อบส์เข้าไปดูแลทุกสิ่งทุกอย่างในบริษัท ไล่ตั้งแต่ออกไอเดียในสินค้า การขนส่ง กล่องใส่สินค้า พนักงานขาย ไปจนถึงวัสดุที่ทำประตูใน Apple Store
  • จะมี CEO คนไหนที่ออกแบบบันไดในร้านขายของตัวเอง
  • คุณไม่สามารถบริหารงานแบบจ็อบส์ได้ ที่จ็อบส์ทำได้เพราะเขาเป็นอัจฉริยะ (ต้องใช้คำนี้จริงๆ) และ 90% ของสิ่งที่เขาตัดสินใจมักจะถูก
  • ความสามารถพิเศษจริงๆ ของจ็อบส์คือการพูด ที่กล่อมคนให้เชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อได้ จนบางดีลก็แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้น
    • กล่อม 5 ค่ายเพลงใหญ่ให้มาขายเพลงที่ iTunes Store ได้
    • ปลุกใจทีมงานให้ยอมทิ้งโปรเจ็คไอโฟนที่ทำมาเกือบปีลง แล้วเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ศุนย์อีกครั้ง
    • โน้มน้าวจนบอร์ดบริหารจนยอมสร้างร้าน Apple Store ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะเจ๊งหรือเปล่า







ตัวตนของสตีฟ จ็อบส์

  • จ็อบส์เป็นคนพื้นเพไม่ดีเท่าไหร่ ต้องอยู่กับพ่อแม่บุญธรรมแต่เด็ก 
  • เป็นคนปากเสียมาก ด่าเจ็บ ไม่ยอมใคร ขี้งก กวนตีน แค้นฝังใจเจ็บ ขี้โมโห เอาแต่ใจ ทั้งเล่มจะได้เจอแต่ Fuck กับ Shit
  • แต่ก็เป็นคนที่เอาความรักเข้ามาโยงกับงานอย่างมาก ใส่ใจในทุกรายละเอียด ลึกจนถึงขั้นบินไปเลือกไม้ที่จะมาทำโต๊ะในร้าน Apple Store ด้วยตัวเอง
  • เคยทำผิดมามากมาย ถึงจะไม่ยอมรับสิ่งที่ผิดในช่วงแรก แต่ก็มักจะกลับมานั่งคิดแล้วก็ยอมรับว่าตัวเองผิดในภายหลัง
  • รักครอบครัวมาก หวงความเป็นส่วนตัวของภรรยาและลูกๆ จนไม่น่าเชื่อ
  • รักความเรียบง่าย เชื่อในศาสตร์แห่งเซน ถึงขนาดสั่งลื้อเครื่องบินส่วนตัวเพื่อให้ปุ่มเปิดปิดประตู มีแค่ปุ่มเดียว ไม่ใช่สองปุ่ม
  • อินกับสิ่งทีทำมาก ถึงกับร้องไห้ออกมาตอนที่รู้ว่า iMac เครื่องแรกมีถาดใส่ CD (ซึ่งเขาไม่อยากให้มี), ร้องไห้กับโฆษณา Think Different, ร้องไห้กับชีวิตในอดีตของตัวเอง



สรุป

Steve Jobs by Walter Isaacson เป็นหนังสือที่ควรอ่าน ไม่ว่าคุณจะชื่นชอบไอที (แมค, ไอโฟน, ไอแพด), ดนตรี (ไอพอด, ไอทูน), ภาพยนตร์ (พิกซาร์) หรือไม่ก็ตามที สิ่งที่คุณจะได้มากกว่านั้นคือความทุ่มเททั้งตัวและใจให้กับงาน ความเชื่ออย่างสุดใจในสิ่งที่ทำ ธุรกิจ ความขัดแย้ง ความฉลาดสุดล้ำ และความโง่อย่างไม่น่าเชื่อของชายคนที่เหมาะกับคำว่า Visionary มากที่สุดในยุคนี้ .. สตีฟ จ็อบส์






:: รวม Note ที่จดไว้ระหว่างอ่านหนังสือ Steve Jobs ::


กำเนิดไอโฟน - จากหนังสือ Steve Jobs

โพสต์ครั้งแรกที่ Google+
จากหนังสือบทที่ 36 - the iPhone

เลือกอ่านบทนี้ก่อนเลยเพราะผมอ่านอดีตของจ๊อบส์มาจนเอียนแล้ว แต่อยากรู้เบื้องหลังสินค้าที่ทำให้แอปเปิลรวยที่สุดในโลกได้ (ก่อนมีไอโฟนนี่แอปเปิลเงินน้อยนะ)


  • ปี 2005 iPod ขายดีโคตร แต่จ็อบส์เริ่มกลัวเพราะรายได้ 45% มาจาก iPod + iTunes เขามองไว้แล้วว่าวันนึงโทรศัพท์ทุกเครื่องจะมาแทน iPod
  • ไปร่วมมือทำมือถือกับ Motorola สุดท้ายได้รุ่น RAZR ออกมา และห่วยระเบิด เพราะแอปเปิลไม่ได้ทำ HW เอง ทำแค่ iTunes .. "I'm sick of dealing with these stupid companies like Motorola"
  • คืนหนึ่ง วิศวกรของไมโครซอฟท์ฉลองวันเกิดครบ 50 ปี พอดีสนิทกับภรรยาของจ็อบส์ ก็เลยชวนจ็อบส์และบิลเกตส์ก็มางานด้วย ปรากฏเฮียแกโชว์ Microsoft Tablet PC มากไปหน่อยจนจ็อบส์รำคาญ เช้าวันต่อมาเลยไปที่ออฟฟิศและบอกทีมงานว่า "เราจะทำแท็บเล็ต !!"
  • ในตอนนั้น (2005) แอปเปิลเลยมีโครงการลับ 2 อัน 1. iPhone ที่ใช้ Click Wheel กับ 2. Tablet ที่ใช้จอ Multi-Touch
  • ทีมงานพบว่าการเอา Click Wheel มาใช้กับโทรศัพท์นี่เป็นไอเดียที่แย่มาก โดยเฉพาะตอนจะโทรออกแบบกดทีละเบอร์ 
  • Jony Ive มองออกว่า Multi-Touch เป็นทางออก เลยค่อยๆ ทำอุปกรณ์ตัวอย่างจนเกือบเสร็จแล้วไปโชว์ให้จ็อบส์ดู มันดูดีมากจนจ็อบส์บอกว่า "This is the future"
  • จ็อบส์สั่งหยุดโครงการแท็บเล็ตไปก่อน แล้วเดินหน้าไอโฟนเต็มร้อย
  • แต่โครงการ iPhone Click Wheel ก็ยังคงทำต่อไป ตอนนี้เลยทำสองไอโฟนคู่กันคือ Click Wheel กับ Multi-Touch (codename P1 และ P2)
  • แอปเปิลไปแอบซื้อบริษัท FingerWorks เงียบๆ เพราะบริษัทนี้แหล่ะที่มีสิทธิบัตร Multi-Touch อยู่ (และก็ใช้ฟ้องชาวบ้านอยู่ตอนนี้)
  • 6 เดือนผ่านไป ทุกคนลงความเห็นว่า Click Wheel ไม่เวิร์ค ตอนนี้เลยเหลือแค่ไอโฟน Multi-Touch ที่เดินหน้าเต็มสูบ
  • ปัญหาหลักคือจ็อบส์เกลียดพลาสติก และอยากได้จอที่เป็นกระจก เพราะทำให้รู้สึกดีกว่า (สมัยนั้นจอโทรศัพท์หรือแม้แต่ iPod เป็นพลาสติกหมด)
  • จ็อบส์ใช้เส้นสายจนไปได้บริษัท Corning Glass ใน NY หาวิธีทำกระจกแบบพิเศษให้จนสำเร็จ เรียกกันว่า "Gorilla Glass"
  • ปี 2006 ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีจนเกือบเสร็จ กว่า 9 เดือนของโครงการนี้ แต่เช้าวันนึงจ็อบส์ก็เดินมาบอก Ive ว่า เขานอนไม่หลับเมื่อคืนนี้ เพราะในที่สุดก็รู้สึกได้ว่ามันยังไม่ใช่ดีไซน์ที่ถูกต้อง และต้องการยกเลิกสิ่งที่ทำมา 9 เดือนและเริ่มใหม่หมด
  • ดีไซน์แรกของไอโฟน คือมีเคสเป็นอะลูมิเนียมแต่มีขนาดใหญ่คลุมมาถึงหน้าเครื่อง และจอมีขนาดเล็กเกินไป (หนังสือไม่ได้มีรูปให้ดู)
  • จ็อบส์โชว์เทพปลุกใจทีมงานทุกคนว่า "We're all going to work nights and weekend", "It was one of my prodest moment at Apple"
  • จ็อบส์เข้าไปดูทุกอย่าง และเป็นคนตัดสินใจเรื่องสำคัญอย่างการใช้ sensor เปิดปิดเครื่องเวลาเอาแนบหู, แบตที่เปลี่ยนไม่ได้, กดลากเพื่อเปิดล็อก (Swipe to Open)
  • ในที่สุดไอโฟนก็ได้เปิดตัวในงาน Macworld ปี 2007 จ็อบส์เชิญทีมงานทุกคนที่เคยทำ Macintosh เมื่อปี 1984 มาด้วย รวมทั้ง Steve Wozniak
  • ปัจจุบันไอโฟนเป็นมือถือที่ขายดีที่สุดในโลก ทำกำไรมากกว่าครึ่งหนึ่งของโทรศัพท์ทุกยี่ฮ้อรวมกัน




ดราม่า A Bug's Life vs Antz


โพสต์ครั้งแรกที่ Google+
จากหนังสือ Steve Jobs บทที่ 33 Pixar's Friend

เมื่อปี 1994 ผมจำได้ว่าหลังจากที่การ์ตูนเรื่อง Toy Story เข้าฉาย ตอนนั้นก็ตื่นเต้นกับการได้ดูการ์ตูนแอนิเมชันจากคอมพิวเตอร์มาก และเฝ้ารอดูเรื่องต่อมา ซึ่งต่อมาไม่นานก็มีหนังการ์ตูนเข้าพร้อมๆ กันถึง 2 เรื่อง คือ Antz และ A Bug's Life

ความรู้สึกแปลกใจตะหงิดๆ เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า ทำไมอยู่ดีๆ ถึงมีการ์ตูนที่ทำจากคอมพิวเตอร์เข้าพร้อมกัน แถมเนื้อเรื่องคล้ายกันคือเกี่ยวกับมดและแมลงได้ล่ะหว่า แต่ก็ช่างเถอะ ดูมันทั้ง 2 เรื่องเลยละกัน

13 ปีต่อมา หลังจากที่ได้อ่านหนังสือ Steve Jobs by Walter Isaacson ก็ได้ถึงบางอ้อว่า จริงๆ แล้วมันมีความดราม่าซับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่เบื้องหลัง จนไม่น่าเชื่อว่าอะไรมันจะซับซ้อนขนาดนี้(วะ)เนี่ย

  • John Lasseter หลังจากที่สร้าง Toy Story เสร็จแล้ว ก็มีไอเดียที่เขาคิดอยากจะสร้างมานาน คือการ์ตูนที่เกี่ยวกับมดและแมลง เพราะมันไม่เคยมีใครสร้างมาก่อน
  • ในช่วงเวลาเดียวกัน Jeffrey Katzenberg โปรดิวเซอร์ชื่อดังของดิสนีย์ (Disney) แต่มีปัญหากับผู้บริหาร จนสุดท้ายโดนขับไล่ออกมาในปี 1994
  • Katzenberg แค้นดิสนีย์มาก จนต้องมาจับมือกับ Steven Spielberg สร้างค่ายหนังดรีมเวิร์คส์ (Dream Works) และหนังเรื่องแรกของค่ายคือการ์ตูน The Prince of Egypt เพื่อกลับมาล้างแค้นดิสนีย์เจ้าพ่อการ์ตูนในเวลานั้น
  • Lasseter มีความสนิทสนมกับ Katzenberg อยู่พอสมควร วันหนึ่งทั้งคู่ได้มาพบกัน และก็ถามไถ่โครงการที่กำลังสร้างกันอยู่ ซึ่ง Lasseter ก็เล่าไอเดียเกี่ยวกับ A Bug's Life ออกไปแบบไม่ได้คิดอะไร
  • 2 ปีต่อมา Lasseter แอบได้ยินข่าวลือที่ว่าดรีมเวิร์คส์กำลังซุ่มทำแอนิเมชันจากคอมพิวเตอร์ โดยเนื้อเรื่องเกี่ยวกับมดและแมลง
  • Lasseter โกรธมาก โทรไปด่า Katzenberg จนเสียหมา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เรื่องมาถึงหูสตีฟ จ็อบส์ซึ่งแน่นอนตามไล่ด่าพ่อ Katzenberg อยู่นาน จนในที่สุดความจริงก็ปรากฏว่าต้นเหตุของเรื่องนี้ มีที่มาจากตัวละครที่ชื่อดิสนีย์
  • คือเมื่อดิสนีย์ได้ยินว่าดรีมเวิร์คส์จะทำการ์ตูน Prince of Egypt ออกมาเพื่อล้างแค้นตน จึงออกอุบายเด็ด โดยการจัดให้การ์ตูน A Bug's Life ของ Pixar ไปกำหนดฉายชนกัน เข้าโรงวันเดียวกันซะเลย เพื่อไม่ให้ดรีมเวิร์คส์ได้ผุดได้เกิด (ซึ่งตามปกติแล้วหนังประเภทการ์ตูนจะเลี่ยงไม่เข้าโรงพร้อมกัน)
  • พอเป็นอย่างนี้ ก็เลยทำให้ Katzenberg ต้องหันมาสร้าง Antz ขึ้นมาตัดขา Pixar และดิสนีย์อีกรอบ ด้วยการทำการ์ตูนที่เนื้อเรื่องคล้ายกัน สร้างจากคอมพิวเตอร์เหมือนกัน แต่ออกมาฉายก่อน A Bug's Life เพียงแค่ 1 เดือน
  • Katzenberg ให้เงื่อนไขกับสตีฟจ็อบส์ว่า เขาสามารถหยุดโครงการ Antz ได้ ถ้าจ็อบส์ยอมไปสั่งให้ดิสนีย์เลื่อนวันฉาย A Bug's Life ออกไปไม่ให้ชนโรงกับ Prince of Egypt (คือเอาหนังมาเป็นเครื่องมือต่อรองกันนี่เอง)
  • แน่นอนว่าคนอย่างจ็อบส์เหรอจะยอมกับเรื่องแบบนี้ สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครยอมใคร หนังทั้ง 3 เรื่องเลยเข้าโรงชนกันสะบั้นหั่นแหลก
  • ใครชนะ ? สมัยนั้นออสการ์ยังไม่มีรางวัลสำหรับการ์ตูนแอนิเมชัน ก็คงต้องตัดสินกันที่รายได้แทน
    • Antz : $171.8 ล้านเหรียญ
    • Prince of Egypt : $218.6 ล้านเหรียญ
    • A Bug's Life : $363.3 ล้านเหรียญ
ดราม่าเอย จงซับซ้อนขึ้นไปอีก ...