วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หนังสือแนะนำ

1)

กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ

การเป็นไททางการเงิน คือ การที่เราสามารถมีวิธีการให้เงินทำงาน เปรียบเสมือนเรามีห่านทองคำที่ออกไข่ทองคำให้เราอยู่เสมอ หนังสือ กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ จะบอกถึงเทคนิคต่างๆในการค้นหาห่านทองคำหรือหุ้นคุณภาพดี มีแนวโน้มที่จะจ่ายปันผลงามๆ

ราคา 120 บาท สั่งซื้อที่ตลาดหลักทรัพย์





2) แปลโดย จักรพงษ์ เมษพันธุ์ : Robert T. Kiyosaki
พิมพ์ที่ ซีเอ็ดยูเคชั่น
พิมพ์ปี 2550
64 หน้า น้ำหนัก 190 กรัม
ราคา 98 บาท

แนะนำ
แม้หนังสือเล่มนี้จะจัดทำสำหรับเด็ก แต่ในความเป็นจริง เนื้อหาเหมาะกับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ที่ต้องการอิสรภาพทางการเงิน โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มต้นหาความรู้ทางการเงิน จะช่วยให้กระโจนเข้าลู่ทางด่วนได้อย่างไม่ยากเย็น โลดแล่นไปกับแนวคิดการทำงานเพื่อเรียนรู้ ไม่ทำงานเพื่อเงิน พื้นฐานสำคัญของการสร้างทรัพย์สินและความมั่นคง วิธีการให้เงินของคุณทำงานหนักให้กับคุณ แทนที่คุณจะต้องทำงานเพื่อมัน



3) กิจกรรม SET Junior Financial Club (SET JFC 2010)

วัตถุประสงค์

1. เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจพื้นฐานทางด้านการออม การจัดการการเงินส่วนบุคคล เศรษฐศาสตร์ และการวางแผนอนาคต

2. เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนได้เรียนรู้เรื่องการออมและการลงทุนจากวิทยากรผู้มีประสบการณ์จริง ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้
ที่หลากหลาย


กำหนดการอบรม SET Junior Financial Club

ช่วงปิดภาคเรียน ระยะเวลาอบรม 3 วัน เวลา 08.00 - 16.00 น. (เดินทางไป - กลับ)

กลุ่มเป้าหมาย

เยาวชนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายทั่วประเทศ จำนวน 400 คน
(คัดเลือกเพียง100 คน/รุ่น: ม.ต้น 50 คน และ ม.ปลาย 50 คน)


ค่าธรรมเนียม

ไม่มีค่าใช้จ่าย



สิ่งที่ผู้เข้าอบรมจะได้รับ


1. ได้รับความรู้ด้านการเงินควบคู่ไปกับความสนุกสนาน และมิตรภาพจากเพื่อนๆ
ต่างโรงเรียน

2. ได้รับเอกสารความรู้ด้านการเงิน และวุฒิบัตรผ่านการอบรมจากตลาดหลักทรัพย์ฯ

3. น้องๆ ระดับ ม.ปลาย ได้รับสิทธิในการคัดเลือกเข้าร่วมกิจกรรม SET Junior Financial Camp ในช่วงปิดภาคเรียนเดือนตุลาคม

4. ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดเตรียมอาหารว่างและอาหารกลางวันให้สำหรับน้องๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรม


วิธีการสมัครอบรม

1. สมัครสมาชิก TSI ศึกษาวิธีสมัครสมาชิก TSI เพื่อลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม

**การสมัครสมาชิก TSI เพื่อลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม ต้องสมัครโดยใช้ชื่อและข้อมูล
ส่วนตัวของน้องที่เข้าร่วมกิจกรรมเท่านั้น

2. ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมได้ผ่านทางเว็บไซต์ www.tsi-thailand.org
ศึกษาวิธีการลงทะเบียน


เนื้อหาการอบรม

ม.ต้น

- เด็กรุ่นใหม่ ใช้ชีวิตอย่างมีแผน
- เคล็ดลับเศรษฐีน้อย
- มาวางแผนใช้เงินกันเถอะ
- ชีวิตคือการลงทุน
- กิจกรรม เกม Live & Learn Finance
- ว่าที่เถ้าแก่น้อย

ม.ปลาย
- เด็กรุ่นใหม่ ใช้ชีวิตอย่างมีแผน
- เคล็ดลับเศรษฐีน้อย
- มาวางแผนใช้เงินกันเถอะ
- ชีวิตคือการลงทุน
- กิจกรรม ทดลองซื้อขายหุ้นด้วยเกม
Goventure Stock Market
- ว่าที่เถ้าแก่น้อย
- เถ้าแก่น้อยโกอินเตอร์



หมายเหตุ: ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาหลักสูตร และกำหนดการอบรม
ตามความเหมาะสม

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

36 พิชัยยุทธซุนวู


นอกจาก"สามก๊ก"แล้ว "ตำราพิชัยสงครามซุนวู" อาจจะเป็นหนังสือที่มีคนแปลมากอีกเล่ม
ผมไม่รู้แน่ว่ามี่กี่เวอร์ชั่น แต่รู้ว่ามีทั้งหนังสือ มีทั้งการ์ตูนและมีทั้งหนัง-ซีดี
การมีหลายเวอร์ชั่นหลากรูปแบบ ผมจึงเชื่อว่า นี่เป็น"หนังสือดี" และ"มีคุณค่า"มากๆ

ผมเขียนถึงหนังสือเล่มนี้ขณะอ่านฉบับที่แปลและเรียบเรียงโดย บุญศักดิ์ แสงระวี เพราะต้องการ"รู้จักตัวเอง" ในสถานการณ์ที่"ทุกอย่าง"เข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ..
เรื่องเศรษฐกิจ ต้องรู้จักตัวเองในยุคน้ำมันกำลังพุ่งแตะบาร์เรลละ 100 เหรียญ
เรื่องการเมือง ต้องรู้จักตัวเองขณะกำลังจะมีการเลือกตั้ง
เรื่องเหล่านี้ ลองพิจารณาหนังสือเล่มนี้...แม้จะต้อง"ตั้งรับ" แต่ผมเชื่อว่าจะตั้งรับแบบ"รุก"ไปด้วยโดยไม่เสียเปรียบ

แค่ประโยคแรกๆของ"กลยุทธ์ซุนวู" คือ “รู้เขารู้เรา สู้ร้อยครั้งชนะร้อยครา” ก็เป็นคำสอนที่มีค่ามากๆ
นี่คือเหตุผลที่ผมเชื่อว่า หนังสือหรือตำราเล่มนี้ มีคุณค่าสำหรับการอ่าน เพราะการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขนั้น สิ่งแรกสุดคือต้อง"รู้เรา" เหมือนคนเงินเดือนหมื่น ไม่รู้จักตัวเอง แล้วจะใช้ชีวิตแบบคนเงินเดือนแสน ...อย่างนี้รบครั้งเดียวก็แพ้...ราบคาบ
ผมจึงเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้มีคุณค่าในเรื่องการทำ"สงครามธุรกิจ" หากแต่ยังมีคุณค่าในการทำ"สงครามชีวิต" เพื่อความอยู่รอดและเป็นสุข..ในบั้นปลาย
รบร้อยชนะร้อย ถือว่าสุดยอด...แต่"ที่สุด"อย่าลืมว่านั่นคือ"ชนะโดยไม่ต้องรบ"

กลยุทธ์ของซุนวู...มีมากถึง 36 ข้อ จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้(เลย)ที่จะนำมาใช้ได้ทั้งหมด
แต่ผมก็ยังยืนยันว่า หากสามารถปรับเปลี่ยนได้ ก็มีคุณค่ามากๆ
ขณะเดียวกัน เนื่องจากมี(มาก)ถึง 36 กลยุทธ์ จึงยากที่จะนำมาเผยแพร่โดยละเอียด ผมจึงขออธิบายแบบสั้นๆ จากที่จดไว้หลังอ่านหนังสือและอ่านผ่านเวบ จึงนำมาเขียนโดยไม่มีเจตนาละเมิดลิขสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้น
ทั้ง 36 กลยุทธ์...ได้แก่

กลยุทธ์ที่ 1 ปิดฟ้าข้ามทะเล
ความหมายคือ (ข้าศึก)คิดว่าได้ตระเตรียมไว้อย่างพร้อมแล้ว จึงมักจะประมาท
กลยุทธ์ที่ 2 ล้อมเว่ยช่วยเจ้า
มีความหมายว่า เมื่อข้าศึกรวมศูนย์กำลัง ควรจะใช้อุบายดึงแยกข้าศึกกระจัดกระจาย ห่วงหน้าพะวงหลัง
กลยุทธ์ที่ 3 ยืมดาบฆ่าคน
ความหมายชัดเจนมาก คือยืมกำลังของคนอื่นไปทำลายศัตรู
กลยุทธ์ที่ 4 รอซ้ำยามเปลี้ย
กลยุทธ์นี้หมายความว่า เมื่อข้าศึกตกอยู่ในภาวะลำบาก ก็เป็นช่องให้เราพิชิตได้(ง่าย)
กลยุทธ์ที่ 5 ตีชิงตายไฟ
นั่นคือ เมื่อข้าศึกอยู่ในภาวะวิกฤติ ควรฉวยโอกาสรุกรบโจมตี
กลยุทธ์ที่ 6 ส่งเสียงบุรพาฝ่าตีประจิม
กลยุทธ์นี้คือ การหลอกลวง...เท็จลวงกับจริงแท้ พึงใช้สอดแทรกทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ
กลยุทธ์ที่ 7 มีในไม่มี
กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ให้ใช้ภาพลวงล่อหลอกข้าศึกเพื่อแปรเปลี่ยนจากลวงเป็นจริง
กลยุทธ์ที่ 8 ลอบตีเฉินชัง
หมายถึง ใช้โอกาสที่ข้าศึกตัดสินใจจะรักษาพื้นที่ แสร้งทำเป็นจะโจมตีด้านหน้า แต่เข้าจู่โจมในพื้นที่ที่ข้าศึกไม่สนใจ
กลยุทธ์ที่ 9 ดูไฟชายฝั่ง
กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ใช้การเปลี่ยนแปลงของข้าศึกมาเป็นประโยชน์ของตัวเอง
กลยุทธ์ที่ 10 ซ่อนดาบบนรอยยิ้ม
ประมาณว่า "ใช้ความสงบสยบเคลื่อนไหว"
กลยุทธ์ที่ 11 หลี่ตายแทนถาว
กลยุทธ์นี้หมายถึง ยอมเสีย“มืด” เพื่อประโยชน์แก่ “สว่าง” คือจำต้องเสียสละส่วนน้อย เพื่อชัยชนะส่วนใหญ่
กลยุทธ์ที่ 12 จูงแพะติดมือ
กลยุทธ์นี้ก็คือ แม้ข้าศึกเลินเล่อเพียงเล็กน้อย ก็ต้องฉกฉวยผลประโยชน์มาให้ได้ แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย
กลยุทธ์ที่ 13 ตีหญ้าให้งูตื่น(หรือ"แหวกหญ้าให้งูตื่น")
เป็นกลยุทธ์การส่งคนสอดแนมให้รู้ชัดและกุมสภาพก่อนเคลื่อนทัพ หรือ“สงสัยพึงแจ้ง สังเกตจึงเคลื่อน”
กลยุทธ์ที่ 14 ยืมซากคืนชีพ
มีความหมายว่า อย่าใช้ผู้มีความสามารถอย่างผลีผลาม และผู้ที่ไร้ความสามารถก็อย่ามองข้ามเมื่อมาขอความช่วยเหลือ
กลยุทธ์ที่ 15 ล่อเสือออกจากถ้ำ
เป็นกลยุทธ์ดึงข้าศึกออกมาจากที่มั่น
กลยุทธ์ที่ 16 แสร้งปล่อยเพื่อจับ
กลยุทธ์นี้ เพื่อลดความฮึกเหิมของข้าศึก โดยเลี่ยงการบีบคั้นเพื่อป้องกัน"สุนัขจนตรอก"
กลยุทธ์ที่ 17 โยนกระเบื้องล่อหยก
ความถึง ใช้สิ่งที่คล้ายคลึงแต่ไร้ค่าไปล่อข้าศึก หรือ“ล่อด้วยประโยชน์”
กลยุทธ์ที่ 18 จับโจรเอาหัวโจก
กลยุทธ์นี้คือ เมื่อจะต้องตีข้าศึก ก็ต้องจับ"หัวหน้า"เพื่อสลายพลังของข้าศึก
กลยุทธ์ที่ 19 ถอนฟืนใต้กระทะ
กลยุทธ์นี้มีบอกว่า เมื่อเปรียบเทียบกำลังกับข้าศึกแล้วด้อยกว่า ก็ต้องหาทางลดกำลังของข้าศึกลง
กลยุทธ์ที่ 20 กวนน้ำจับปลา
เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ข้าศึกปั่นป่วนในกองทัพของตัวเอง โดยถือหลัก“เอาชัยจากคงวามปั่นป่วน”
กลยุทธ์ที่ 21 จักจั่นลอกคราบ
กลยุทธ์นี้หมายถึง รักษาแนวรบเยี่ยงเดิมให้ดูน่าเกรงขามเหมือนเก่า หรือการ"ลวง"ฝ่ายตรงข้าม
กลยุทธ์ที่ 22 ปิดประตูจับโจร
เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เมื่อข้าศึกอ่อนกำลัง แล้วโอบล้อมทำลายเสีย เพื่อมิให้เป็นภัยแก่เราในภายหลัง
กลยุทธ์ที่ 23 คบไกลตีใกล้
กลยุทธ์นี้หมายถึง เมื่อถูกจำกัดโดยสภาพแวดล้อมก็ต้องตีเอาข้าศึกที่อยู่ใกล้ตัว โดยไม่เป็นศัตรูกับข้าศึกที่อยู่ไกล
กลยุทธ์ที่ 24 ยืมทางพรางกล
หมายความว่า หากเป็นประเทศเล็กที่อยู่ในระหว่าง 2 ประเทศใหญ่ ก็ต้องทำยอมสยบเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจ
กลยุทธ์ที่ 25 ลักขื่อเปลี่ยนเสา
กลยุทธ์นี้หมายถึง การดึงกำลังสำคัญของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นของเรา โดยควบคุมให้อยู่ใต้การบังคับบัญชา
กลยุทธ์ที่ 26 ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว
กลยุทธ์นี้ก็คือ “แกร่งจึงต้อนรับ เสี่ยงจึงยอมสยบ”
กลยุทธ์ที่ 27 แสร้งทำบอแต่ไม่บ้า
เป็นกลยุทธ์ที่แกล้งทำเป็นโง่ มิเคลื่อนไหว ไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม
กลยุทธ์ที่ 29 ต้นไม้ผลิดอก
หมายถึง ใช้แนวรบของมิตรมาสร้างแนวรบที่เป็นประโยชน์แก่เรา เพื่อทำให้เราดูใหญ่โต
กลยุทธ์ที่ 30 สลับแขกเป็นเจ้าบ้าน
เป็นกลยุทธ์ แทรกเข้ากุมจุดสำคัญหรือหัวใจของอีกฝ่าย
กลยุทธ์ที่ 31 สาวงาม
กลยุทธ์ที่ 32 กลปิดเมือง
กลยุทธ์นี้หมายความว่า “พิสดาร ซ่อนพิสดาร” หรือ“กลวงยิ่งทำกลวง” เพื่อลวงข้าศึก
กลยุทธ์ที่ 33 กลไส้ศึก
เป็นกลยุทธ์ที่ซ้อนกลสร้างแผนลวงให้ข้าศึกร้าวฉาน ระแวงสงสัยซึ่งกันและกัน
กลยุทธ์ที่ 34 กลทุกข์กาย
กลยุทธ์นี้ คือการทำร้ายตัวเองให้บาดเจ็บเพื่อให้ศัตรูเชื่อ
กลยุทธ์ที่ 35 กลลูกโซ่
ใช้เมื่อกำลังศัตรูเข้มแข็งกว่าหลายเท่าจึงไม่สามารถปะทะด้วย จึงใช้อุบายให้ศัตรูถ่วงรั้งซึ่งกันและกัน
กลยุทธ์ที่ 36 หนีคือยอดกลยุทธ์
นี่คือสุดยอดกลยุทธ์ โดยจำให้แม่นว่า “ถอยหนีมิผิด เป็นวิสัยแห่งสงคราม” ทำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายในยามที่เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และเพื่อชิงโอกาสตอบโตภายหลังมิใช่ถอยหนีอย่างพ่ายแพ้หมดรูป ตีโต้กลับมิได้อีก
สุดยอดกลยุทธ์นี้ ในตำราพิชัยสงครามชื่อ “ไหวหนานจื่อ ฝึกการยุทธทหาร” เขียนว่า“แข็งจึงสู้ อ่อนก็หนี” และตำราพิชัยสงครามอีกเล่ม คือ “ปิงฝ่าหยวนจีได้” ก็กล่าวไว้ว่า “แม้นหลบแล้วรักษาไว้ได้ก็พึงหลบ” กระทั่งใน “ซุนจื่อ บทกลยุทธ์” ก็ระบุว่า “แข็งพึงเลี่ยงเสีย”

ผมก็เหมือน(เกือบ)ทุกคนนั่นแหละ คือ อ่านครั้งแรกก็ไม่เข้าใจ เนื่องจากเป็น"ภาษาสงคราม" แถมเป็นสงครามในจีนอีกต่างหาก
แต่หลังอ่านจากการสรุปของหลายท่านในหนังสือหลายเล่ม ทำให้ผมพอจะเข้าใจมากขึ้น และรู้ว่า การเรียนรู้"กลยุทธ์"ไม่ใช่เรื่องง่าย และสรุปว่า"ตำราพิชัยสงครามซุนวู” ไม่ใช่หนังสือท่องจำ หากแต่ต้องเข้าใจคำพูด เข้าใจความหมาย ต้องตีความเนื้อหา เพื่อนำไปปฏิบัติและพัฒนาตัวเอง

การเริ่มอ่าน(หนังสือดีๆ)...จึงเป็น"ก้าวแรก" ที่ผมนึกถึงหนังสือกำลังภายในที่มีประโยคหนึ่งว่า

“พื้นฐานไม่ดี ฝึกร้อยปีไม่ก้าวหน้า”
และเมื่อยังไม่เข้าใจ..ก็อย่าลืมอ่านซ้ำ ...

ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก www.oknation.net
ลูกเสือหมายเลข9

*************************************************************************

AutoGenic สัญจร เชียงใหม่

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2555 เวลา 09.00-23.00 น.

สถานที่ โรงแรมบีพี เชียงใหม่ ซิตี้ (ใกล้วัดพระสิงห์)

คุณเคยกลัวว่าตัวเองจะไม่ประสบความสำเร์จในชีวิตมั้ย?
คุณจิตนาการภาพความสำเร็จของคุณไม่ออกใช่รึเปล่า?
คุณกำลังลังเลไม่แน่ใจว่าตัวเองจะสำเร็จเหมือนคนอื่นที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้มั้ย?
คุณกำลังรู้สึกว่าคุณไม่เก่งเหมือนคนอื่น...
คุณคิดว่าการหาคนที่คิดเหมือนคุณ มีเป้าหมายใหญ่เหมือนคุณมันช่างยากเย็น...

ขจัดความรู้สึกเหล่านี้ออกไปฃะด้วย Autogenic Training

นี่คือคำตอบ...ของความสุขในชีวิตอย่างแท้จริง

"สุดยอดยอดคอร์สการโปรแกรมจิตแบบที่คนสำเร็จทุกคนรู้ แต่ไม่เคยบอก"

อบรม วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2555 เวลา 09.00-23.00 น
รวมค่าอาหาร 2 มื้อ คอฟฟี่เบรก ๅ เบรก

คอร์สมูลค่ามากกว่า 5000 บาท ในราคาพิเศษที่หาไม่ได้อีกแล้ว
ในราคาเพียงท่านละ 1000 บาท เท่านั้น

ปล สำหรับเด็กตั้งแต่ 12-15 ปี ราคาพิเศษ 800 บาท/ท่าน

ด่วนจำนวนจำกัดแค่ 100 ท่านแรกเท่านั้น

โทร คุณพิมพ์สิริ 083 018 9430  คุณธนพนธ์ 090 798 3374

ซุนวู กับ โลกธุรกิจ

ซุนวู กับ โลกธุรกิจ OnceInTheBlueMoon คอลัมน์ "มืออาชีพ" โดย ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ wimonkan@sme.go.th

ซุนวูได้เขียนตำราพิชัยสงครามฉบับที่นักธุรกิจทั่วโลกนำมาใช้เป ็นคัมภีร์สำหรับวางยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ เมื่อประมาณ 482 ปี ก่อนคริสต์ศักราช หรือเมื่อ 2485 ปีมาแล้ว

ตำราเล่มนี้ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ ของทั่วโลกมานานพอสมควร โดยเฉพาะฉบับภาษาฝรั่งเศสนั้นแปลเมื่อปี ค.ศ.1772 และเชื่อกันว่าผู้ที่ได้อานิสงส์จากตำราเล่มนี้มากที่สุดในฝรั่ งเศสก็คือนโปเลียน ซึ่งนำเอายุทธวิธีต่างๆ ของซุนวูมาใช้ในการศึกสงครามของตนเองโดยตลอด

36 พิชัยยุทธซุนวูยุทธ

มีเรื่องเล่าด้วยว่าเมื่อเจียง ไค เช็ค ได้พบกับเซอร์ Liddel Hart นักประวัติศาสตร์การทหารผู้เขียนตำราฝึกกองทัพอันเลื่องชื่อของ อังกฤษในศตวรรษที่ 19 เขาได้บอกกับ Hart ว่า ตัวเขาได้ศึกษาเรื่องการทำสงครามให้ได้ชัยชนะจาก Hart นั่นเอง แต่ปรากฏว่าเจียง ไค เช็ค ต้องประหลาดใจเมื่อ Hart ตอบว่าเขาได้เคยอ่านตำราพิชัยสงครามต่างๆ ทั่วโลกมา 20 กว่าเล่ม รวมทั้งหนังสือ "On War" ของ Carl von Clauswitz ที่โลกตะวันตกถือว่าเป็นนักยุทธศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลกต ะวันตกเคยมีมา แต่ก็พบว่าเล่มที่ดีที่สุดก็คือตำราพิชัยสงครามของซุนวู

นอกจากนี้ ในช่วงสงครามระหว่างอิรักกับสหรัฐอเมริกา (1990-1991) นาวิกโยธินสหรัฐทุกคนก็ได้รับแจกตำราพิชัยสงครามของซุนวูให้ไปศ ึกษาอ่านเป็นแนวทางกันอย่างทั่วหน้า

ในรอบสองทศวรรษที่ผ่านมา มีปรากฏการณ์ใหม่ที่ตำราพิชัยสงครามของซุนวูถูกนำไปใช้อ้างอิงอ ย่างกว้างขวางในแวดวงธุรกิจ เนื่องจากคนทำธุรกิจต้องมองการทำธุรกิจเปรียบเสมือนการทำสงคราม เพราะเราไม่ได้ทำธุรกิจอยู่ตัวคนเดียว แต่มีคู่แข่งอยู่รอบด้าน ดังนั้น การบริหารธุรกิจจึงต้องเป็นเรื่องการคิดยุทธศาสตร์ เพื่อเอาชนะคู่แข่ง หรือแม้กระทั่งคิดวางแผนให้คู่แข่งเสียเปรียบ อ่อนแอลง หรือแม้กระทั่งการดักทำลายแผนการของคู่แข่ง ไม่ให้ประสบผลสำเร็จ เป็นต้น

ดังนั้น บรรดานักธุรกิจชั้นนำ โดยเฉพาะนักธุรกิจญี่ปุ่น จะถือว่าตนเองจะบริหารธุรกิจในระดับผู้จัดการไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้เคยศึกษาตำราพิชัยสงคราม ในกรณีของญี่ปุ่นจะต้องอ่านให้ได้อย่างน้อยสองเล่มคือ ตำราของซุนวู และคัมภีร์ดาบห้าห่วงของ Miyamoto Musashi ในกรณีของตะวันตก หลักสูตร Business School ทั่วอเมริกามักจะกำหนดให้นักศึกษาต้องอ่านตำราพิชัยสงครามของซุ นวูด้วย

ตำราฉบับนี้ เขียนขึ้นครั้งแรกบนเปลือกไม้ไผ่ มีความยาวไม่มากเพียง 700 คำ ประกอบด้วย 13 บท ซึ่งจากนี้ผู้เขียนจะพยายามเก็บเนื้อหาในแต่ละบทมาอธิบายว่าสาม ารถนำมาประยุกต์ใช้กับการทำธุรกิจได้อย่างไร

บทที่ 1 ว่าด้วยการวางยุทธศาสตร์ และการศึกษาสถานการณ์

ในบทนี้ ซุนวู บอกว่าสงครามเป็นเรื่องของความเป็นความตาย เป็นเรื่องของการอยู่รอด หรือการถูกทำลาย ดังนั้น ก่อนที่จะลงมือทำสงคราม จะต้องศึกษาสถานการณ์ต่างๆ อย่างถี่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องใส่ใจเปรียบเทียบกำลังของตนเองกับกำลังขอ งศัตรู เพื่อปรับปรุงกำลังของเราให้เข้มแข็งกว่าเสมอ ในแง่การทหาร ซุนวูพูดถึงปัจจัยหลัก 5 ประการที่ต้องศึกษาเปรียบเทียบตัวเรากับฝ่ายตรงข้ามอยู่เสมอ ได้แก่ 1) ขวัญกำลังใจ 2) ดินฟ้าอากาศ 3) สภาพแวดล้อมทั่วไป 4) ผู้บัญชาการ และ 5)ยุทธศาสตร์

เมื่อนำมาประยุกต์กับธุรกิจ เรื่องนี้ก็คือประเด็นการทำ benchmarking หรือการประเมินศักยภาพของบริษัทเราเมื่อเทียบกับคู่แข่ง และศึกษา best practice ของคนอื่นแล้วเลียนแบบ หรือทำให้ดียิ่งกว่า เมื่อทำการ benchmark และทราบผลแล้ว ขั้นต่อไปคือการปรับยุทธศาสตร์ หรือที่เรียกว่า strategic u-turn ซึ่งในเรื่องนี้ ซุนวูมีข้อเตือนใจว่า ในการเดินยุทธศาสตร์ใดๆ กับคู่แข่ง จะต้องยึดหลักต่างๆ ดังนี้

- เมื่อตัดสินใจโจมตี ต้องเสแสร้งว่าเราอ่อนแอ

- เมื่อเราอยู่ใกล้ ต้องให้ศัตรูคิดว่าไกล

- เมื่อเราอยู่ไกล ต้องให้ศัตรูคิดว่าใกล้

- ถ้าศัตรูถ่อมตัว ต้องทำให้เขากลายเป็นคนเย่อหยิ่ง

- ถ้าศัตรูกำลังพักผ่อน สุขสบาย ต้องก่อกวนให้เขาไม่เป็นสุข

- ท้ายสุด โจมตีศัตรูในเวลาที่เขาไม่พร้อม หรือคาดไม่ถึง

ตัวอย่างการทำ benchmarking ก็อย่างเช่น ครั้งหนึ่งบริษัท IBM เคยทำการศึกษาเปรียบเทียบและพบว่าตนเองสามารถส่งของได้ภายใน 246 วันหลังจากวันที่เริ่มผลิต ในขณะที่บริษัทคู่แข่งทำได้ในระยะเวลาน้อยกว่า จึงสั่งปรับปรุงลดเวลาการผลิตจาก 246 วัน ให้เหลือ 206 วัน หรือบริษัท Ford เคยทำการศึกษาแล้วพบว่าผู้บริหารของบริษัทคู่แข่ง ใช้เวลาสื่อสารกับพนักงานเยอะมาก จนกระทั่งพนักงานมีความสุขในการทำงาน สามารถทำงานเป็นทีม และมีความเป็น bureaucracy ต่ำ (ดูแล้วน่าจะหมายถึงบริษัท GM) พอ Ford ได้ข้อมูลตัวนี้ก็ปรับตัวเลียนแบบทันที โดยไม่ต้องรอให้เรื่องนี้บานปลายกลายเป็นปัญหา

ส่วนเรื่องการเดินยุทธศาสตร์นั้น สามารถดู Wal-mart เป็นตัวอย่าง

ในช่วงแรกที่ Wal-mart ซึ่งเป็นธุรกิจที่ขายทุกอย่างแบบห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เริ่มรุ กขยายกิจการในอเมริกา Sam Walton เจ้าของ Wal-mart เน้นยุทธศาสตร์การเปิดสาขาเฉพาะในเมืองเล็กๆ ในเขตห่างไกลของอเมริกาแบบจู่โจมเงียบๆ ไม่ให้ใครรู้ตัว โดยไม่เปิดเผยยุทธศาสตร์ที่แท้จริงว่า ลึกๆ แล้ว Wal-mart กำลังใช้วิธี "เปิดกิจการขนาดใหญ่ในเมืองเล็ก เพื่อรุกฆาตทุกๆ กิจการในเมืองใหญ่"

นำเสนอความแยบยลร้ายกาจของตำราพิชัยสงครามของซุนวูไว้เพียงเท่า นี้ก่อน คราวหน้าจะเริ่ม บทที่สอง ว่าด้วยการทำสงคราม
Last Update : 4 ธันวาคม 2548 13:40:34 น. 7 comments
******************************************************************************

AutoGenic สัญจร เชียงใหม่

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2555 เวลา 09.00-23.00 น.

สถานที่ โรงแรมบีพี เชียงใหม่ ซิตี้ (ใกล้วัดพระสิงห์)

คุณเคยกลัวว่าตัวเองจะไม่ประสบความสำเร์จในชีวิตมั้ย?
คุณจิตนาการภาพความสำเร็จของคุณไม่ออกใช่รึเปล่า?
คุณกำลังลังเลไม่แน่ใจว่าตัวเองจะสำเร็จเหมือนคนอื่นที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้มั้ย?
คุณกำลังรู้สึกว่าคุณไม่เก่งเหมือนคนอื่น...
คุณคิดว่าการหาคนที่คิดเหมือนคุณ มีเป้าหมายใหญ่เหมือนคุณมันช่างยากเย็น...

ขจัดความรู้สึกเหล่านี้ออกไปฃะด้วย Autogenic Training

นี่คือคำตอบ...ของความสุขในชีวิตอย่างแท้จริง

"สุดยอดยอดคอร์สการโปรแกรมจิตแบบที่คนสำเร็จทุกคนรู้ แต่ไม่เคยบอก"

อบรม วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2555 เวลา 09.00-23.00 น
รวมค่าอาหาร 2 มื้อ คอฟฟี่เบรก ๅ เบรก

คอร์สมูลค่ามากกว่า 5000 บาท ในราคาพิเศษที่หาไม่ได้อีกแล้ว
ในราคาเพียงท่านละ 1000 บาท เท่านั้น

ปล สำหรับเด็กตั้งแต่ 12-15 ปี ราคาพิเศษ 800 บาท/ท่าน

ด่วนจำนวนจำกัดแค่ 100 ท่านแรกเท่านั้น

โทร คุณพิมพ์สิริ 083 018 9430  คุณธนพนธ์ 090 798 3374
*********************************************************************************************************************************


ซุนวู กับ โลกธุรกิจ (2)

คอลัมน์ มืออาชีพ โดย วิมลกานต์ โลกธุรกิจ (2)

บทที่ 2 : ของตำราพิชัยสงครามของซุนวูเป็นเรื่องของการทำสงคราม

ซุนวูกล่าวว่า การทำสงครามทุกครั้งต้องสิ้นเปลืองกำลังคน อาวุธยุทโธปกรณ์และ พาหนะมากมาย ยังไม่นับเบี้ยหวัดเงินเดือน และค่าอาหารที่ใช้เลี้ยงดูไพร่พล ดังนั้น ถ้าริจะเข้าสู่สงครามก็ต้องรวบรัดเอาชนะให้ได้โดยเร็ว อย่าให้สงครามยืดเยื้อ และจะเลี่ยงสถานการณ์ยืดเยื้อได้ ก็ด้วยการเตรียมทรัพยากรโดยเฉพาะกำลังทรัพย์ให้พร้อม

การเข้าสู่สงครามก็เปรียบได้กับการเริ่มทำธุรกิจ(business entry) ซึ่งจะต้องเตรียมสายป่านให้ยาวพอสมควร Small Business Administration หรือสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดย่อมของสหรัฐ มีข้อมูลว่า ร้อยละ 70 ของธุรกิจในสหรัฐ ที่ต้องปิดกิจการลงไป เป็นการปิดกิจการในช่วงที่ธุรกิจกำลังจะขยายตัว และขาดเงินทุนหมุนเวียน หรือเงินทุนที่จะลงทุนเพิ่ม
เมื่อ 3 ปีก่อน ดิฉันมีโอกาสไปดูงานที่สำนักงานใหญ่ของ Bank of America ที่วอชิงตัน ดี.ซี. เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงของธนาคารเล่าว่า คนทำธุรกิจส่วนใหญ่ไม่คิดจะกู้เงินเก็บไว้ใช้ยามจำเป็น ตอนที่ธุรกิจดีๆ แบงก์ที่ไหนก็อยากจะปล่อยกู้ให้ทั้งนั้น แต่ก็ไม่คิดจะกู้ เจ้าของกิจการมักจะมาขอกู้ตอนกิจการมีปัญหาแล้ว และผู้บริหารท่านนี้ยืนยันว่า ยุทธศาสตร์ที่ดีของนักธุรกิจคือ ต้องกู้เงินเก็บไว้บ้างตอนที่ธุรกิจยังดีๆ โดยต้องยอมให้เงินนอนอยู่เฉยๆ อย่างนั้นแหละ เพราะเมื่อฉุกเฉินเกิดมีปัญหาจริงๆ ไปอ้อนวอนยังไงแบงก์ก็ไม่ปล่อยกู้ให้

นอกจากความพร้อมเรื่องเงิน และทรัพยากรแล้ว ซุนวูเน้นว่า ความรวดเร็วเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดในการทำสงคราม เมื่อเข้าสู่สงครามแล้วต้องเอาชนะให้ได้ในระยะเวลาอันสั้น ถ้ายืดเยื้อรังแต่จะสิ้นเปลืองทั้งทรัพย์และไพร่พล

เกี่ยวกับเรื่องนี้จะเห็นตัวอย่างได้จากบรรดาบริษัทใหญ่ๆ ซึ่งยิ่งมีสายป่านยาวสุด เช่น GM, Intel หรือ Dell ก็จะยิ่งเคลื่อนไหวทุกอย่างอย่างรวดเร็ว ปรับตัวเร็ว เปลี่ยนระบบเร็ว ปลดคนเร็ว เพื่อเคลื่อนเข้าสู่ภารกิจหลักที่รออยู่ข้างหน้าให้เร็วที่สุด

และเมื่อสงครามเสร็จสิ้นแล้ว ซุนวูบอกว่า ไพร่พลต้องได้รับการแบ่งผลประโยชน์และปูนบำเหน็จกันอย่างถ้วนหน ้า ทรัพย์สินที่ยึดมาได้จากศัตรูก็ต้องแจกจ่ายกันไป มิฉะนั้นไพร่พลจะเสียกำลังใจ และจะไม่ทุ่มเทเสี่ยงเป็นตามอีกในสงครามครั้งหน้า

เช่นเดียวกันกับการดูแลธุรกิจ หากเจ้าของกิจการมีพนักงานที่ร่วมเป็นร่วมตายในยามยาก พอบริษัทเฟื่องฟูแล้ว ไม่ขึ้นโบนัส เลื่อนตำแหน่ง คนจะเสียใจ และเราจะรักษาเขาไว้ไม่อยู่ รักษาไว้ไม่ได้ยังไม่เท่าไร แต่ถ้าคนของเราไปเข้ากับคู่แข่งหรือฝ่ายตรงข้าม โดยนำข้อมูลหรือความลับของบริษัทติดตัวไปด้วย ก็ยิ่งจะเกิดความเสียหาย โดยเฉพาะถ้าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในอเมริกา เวลาเห็นคู่แข่ง lay-off พนักงาน มักจะสั่งการให้ฝ่ายบุคคลไปไล่สัมภาษณ์และเลือกเข้ามาทำงานทันท ี เพื่อเรียนรู้กลยุทธ์และข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามถือเป็นการจารกรรม ข้อมูลราคาถูกสุดสุด

บทที่ 3 : จู่โจมด้วยกลยุทธ์

ในบทที่ 3 นี้ ซุนวูฟันธงว่า แพ้ชนะสามารถตัดสินได้ ตั้งแต่ยังไม่เข้าสู่สงครามจริงโดยสามารถดูได้จากลักษณะของยุทธ ศาสตร์และกลยุทธ์ที่แม่ทัพใช้เป็นแผนที่นำการรบ สำหรับซุนวูแล้ว เยี่ยมยอดที่สุดในบรรดากลยุทธ์ทั้งหลายได้แก่การเอาชนะโดยไม่ต้ องทำสงคราม นั่นคือการจู่โจมโค่นล้มแผนการของฝ่ายตรงข้ามมิให้เป็นผลสำเร็จ ที่ได้ชื่อว่าเป็นกลยุทธ์เยี่ยมยอด อันดับสองคือ ทำลายพันธมิตรของฝ่ายตรงข้าม ส่วนอันดับสามคือ เข้าสู่สงครามแบบซึ่งๆ หน้า

โดยสรุป ความเหนือชั้นในการสงครามต้องดูจากความสามารถที่จะวางยุทธศาสตร ์ให้เอาชนะโดยไม่ต้องลงมือใช้กำลัง

สำหรับการเอาชนะโดยไม่ต้องทำสงคราม ในทางธุรกิจก็คือการควบรวมกิจการ หรือ merger and acquisition หรือลักษณะการ "ฮั้ว" กันระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่เพื่อกำหนดส่วนแบ่งตลาดและกำหนดราคาเ พื่อจะไม่ตัดราคากันเอง

การยึดฐานหรือทรัพย์สินของฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ต้องตีเมืองหลวง ก็เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่สามารถใช้เอาชนะโดยไม่ต้องทำสงครามขนา ดใหญ่ ซึ่งเป็นกรณีของโรงแรม Holiday Inn ที่มักจะเลี่ยงไปเปิดสาขาในเขตชานเมืองไกลๆ ของอเมริกา เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรงกับคู่แข่ง อันได้แก่ Hilton หรือ Sheraton ที่มักจะเลือกยึดทำเลในเมืองโดยเฉพาะเขต downtown เป็นหลัก

กลยุทธ์นี้ทำให้ Holiday Inn สามารถสยายปีกทางธุรกิจออกไปทั่วอเมริกาโดยไม่ต้องเข้าสู่สงครา มตัดราคากับคู่แข่ง

อีกกรณีหนึ่งที่คล้ายๆ กันคือ ธุรกิจเคเบิลทีวี ซึ่งตอนแรกเริ่มจากสถานีข่าว คือ CNN และตามมาด้วย CNBC ที่ประสบความสำเร็จในด้านการเงินอย่างท่วมท้น แต่บรรดาผู้มาทีหลังทั้งหลาย กลับเลี่ยงไม่ยอมเข้าสู่สงครามโดยตรง คือ เลี่ยงไม่ทำเรื่องข่าว แต่พยายามหา niche ประเภทอื่น เช่น เพลงและดนตรี(MTV) ข่าวบันเทิงและข่าวซุบซิบนินทา(ช่อง E-entertainment) สารคดี(Discovery และ History Channel) และกีฬา(ESPN) เป็นต้น กรณีนี้ ก็คือมาแบ่งตลาดโดยไม่ทำสงครามแย่งลูกค้าโดยแบบซึ่งๆ หน้า

แต่ถ้ามีกำลังทรัพย์ และไพร่พล เหนือชั้นกว่ามากๆ ก็สามารถทำสงครามยึดเมืองหลวง และเอาชนะแบบเบ็ดเสร็จได้เลย อย่างเช่น กรณีร้านกาแฟ Starbucks ตอนเริ่มธุรกิจใหม่ในอเมริกา จะใช้วิธีเปิดร้านให้ไกล้ที่สุดกับร้านกาแฟที่ดังที่สุดในเมือง นั้น เอาแบบติดกันไปเลย หรือไม่ก็เปิดให้ได้บนถนนสายเดียวกัน โดย Starbucks ยังใช้กลยุทธ์เหี้ยมโหดแบบหักคอร้านกาแฟรายเล็กด้วย คือ ตัวเองไปที่ไหนก็เสนอให้ค่าเช่าแบบแพงลิบลิ่วไม่สมเหตุผล ไม่นานพอเจ้าของที่ให้เช่าพื้นที่แก่ร้านกาแฟดั้งเดิมรู้ข่าว ก็จะขอขึ้นราคาค่าเช่าบ้าง ร้านกาแฟดั้งเดิมของเมืองส่วนใหญ่มักจะเป็น stand-alone SMEs คือเป็นรายเล็กๆ ที่ไม่มีสายป่ายยาว ซักพักก็จะสู้ราคาค่าเช่าไม่ไหว หรือพอสู้ค่าเช่าได้ก็ไม่มีทุนเหลือพอจะปรับปรุงหน้าตาร้านให้ห รูได้เท่า Starbucks และทยอยปิดกิจการไปเอง

ท้ายสุดของการจู่โจมทำสงคราม ที่สำคัญมากคือพฤติกรรมของตัวผู้นำ ซุนวู มีหลักว่า ผู้นำสูงสุดจะต้องไม่มาสั่งการเกี่ยวกับรายละเอียดของการรบจากท ี่ไกล คนเป็นผู้นำควรจะต้องออกคำสั่งกว้างๆ ส่วนเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหลาย ต้องให้สิทธิแก่แม่ทัพนายกองที่เขาอยู่ภาคสนามเป็นคนสั่งการ โดยนำคำสั่งจากผู้นำไปพลิกแพลงเป็นภาคปฏิบัติ เพราะผู้นำสูงสุดจะไม่สามารถตามทันเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงราย วันในสนามรบได้ อาจเกิดสถานการณ์ที่ผู้นำสั่งให้รุก ในขณะที่สถานการณ์ภาคสนามชี้ว่าควรถอย หรือกลับกันคือสั่งให้ถอย ในขณะที่สถานการณ์ในพื้นที่บ่งบอกว่าควรรุก

กรณีสั่งการจากที่ไกล เป็นข้อห้ามของ National Venture Capital Association หรือสมาคมกองทุนร่วมทุนของอเมริกา สมาคมดังกล่าวประกอบด้วยกลุ่มคนที่รวบรวมเงินจัดตั้งกองทุนเพื่ อไปซื้อหุ้นในบริษัทเล็กๆ โดยเข้าไปร่วมบริหารจัดการด้วย เพื่อนำบริษัทเหล่านี้เข้าตลาดหุ้นเพื่อทำกำไรก้อนโต หลักเกณณ์สำคัญที่ประธานสมาคมแนะนำสมาชิกก็คือ ถ้าสมาชิกไม่สามารถเดินทางไปถึงบริษัทที่จะร่วมทุนเพื่อดูแลบริ หารจัดการหรือแก้ปัญหาเร่งด่วนของบริษัทเหล่านี้ ภายในเวลา 2 ชั่วโมง แล้วละก็ อย่าเสี่ยงไปลงทุนเลยดีกว่า

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Internet Video Marketing Opportunities With Affiliate Marketing Expert Ted Ciuba

Top 10 Home-Based Franchises

The Franchise 500's Top 10 Home-Based Franchises
Wondering what's the best franchise to start in your home? Entrepreneur counts down the top 10 choices.

Entrepreneur.com

No. 10: Snap-on Tools
In 1920, a particular wrench could only do one particular job, but Joseph Johnson had an idea to change that. Along with William Seidemann, he began manufacturing ten different sockets that would "snap on" to five interchangeable wrench handles, so that one tool could do the work of five. The Snap-on Wrench Company's representatives sold these new products by taking them to the customers at their places of business and demonstrating their use.
Today, Snap-on Tools franchisees sell far more than just wrenches. They offer over 19,000 products, including hand tools, power tools, diagnostic tools, tool storage and shop equipment, but the way they sell is much the same. Once a week they bring their "mobile stores"--trucks filled with their products--directly to their customers, which include car dealerships, mechanics, marinas and airports.
Number of franchises: 4,308
Franchising since: 1991
Startup costs: $17,619 - $281,959
2009 rank: #5

No. 9: Bonus Building Care
In 1969, Arleen Cavanaugh and then-husband Jim Cavanaugh founded Jani-King, a commercial cleaning franchise. When the couple divorced in the mid-'90s, Jim maintained control of the business.
Using the experience she gained with Jani-King, Arleen started her own commercial cleaning business, Bonus Building Care. The company currently serves businesses throughout the South and Midwest.
Number of franchises: 2,490
Franchising since: 1996
Startup costs: $9,000 - $15,000
2009 rank: #10
More Information

No. 8: ServiceMaster Clean
ServiceMaster was incorporated in 1947 as Wade, Wenger and Associates. Marion Wade got the idea for his company after a chemical accident left him temporarily blind in 1945.
Today, it is part of the Memphis, Tennessee ServiceMaster Co. franchise family, which includes AmeriSpec Home Inspection Services, Furniture Medic, Merry Maids and Terminix. ServiceMaster franchisees offer disaster restoration and residential and commercial cleaning services.
Number of franchises: 4,940
Franchising since: 1952
Startup costs: $20,926 - $132,623
2009 rank: #4

No. 7: Vanguard Cleaning Systems
Vanguard Cleaning Systems was founded in 1984 and began franchising the same year. The private company is based in San Mateo, California. Its franchisees serve approximately 1,000 commercial cleaning accounts. Vanguard offers a Master Franchise program for experienced businesspeople and a Unit Franchise program for beginning entrepreneurs.
Number of franchises: 1,516
Franchising since: 1984
Startup costs: $8,125 - $38,100
2009 rank: #9

No. 6: Matco Tools
Since 1979, Matco Tools, a subsidiary of Danaher Corp., has been manufacturing, distributing and servicing automotive equipment, tools and toolboxes. Today the company's line of products includes over 13,000 different items. Franchisees, who bring these products to their customers in trucks, number nearly 1,500, with locations in all 50 states, as well as Puerto Rico and Canada.
Number of franchises: 1,489
Franchising since: 1993
Startup costs: $79,926 - $187,556
2009 rank: #7

No. 5: Jazzercise Inc.
While teaching traditional jazz dance classes in Evanston, Illinois, in 1969, Judi Sheppard Missett turned her students away from the mirrors and started a "just for fun" class that incorporated dance moves to provide aerobic exercise. After moving to Southern California, she started training other instructors in the Jazzercise program in 1977. Six years later, the company began franchising. Now Jazzercise's CEO, she continues to teach weekly Jazzercise classes and choreograph new dance routines. Based in Carlsbad, California, Jazzercise has more than 5,000 instructors teaching its total-body conditioning program to almost half a million participants each year in the United States and more than 30 other countries. Jazzercise instructors are trained and certified before becoming franchised.
Number of franchises: 7,854
Franchising since: 1982
Startup costs: $2,980 - $75,500
2009 rank: #8

No. 4: Stratus Building Solutions
Utilizing their combined experience of over 20 years as executives in the commercial cleaning industry, Dennis Jarrett and Pete Frese founded Stratus Building Solutions in 2004. Franchisees offer cleaning services--including the company's environmentally-friendly Stratus GreenClean program--for office buildings, retail properties, medical facilities, schools and more.
Number of franchises: 2,148
Franchising since: 2005
Startup costs: $3,450 - $57,750
2009 rank: #6

No. 3: Jan-Pro Franchising Int'l. Inc.
Jacques Lapointe founded Jan-Pro in Providence, Rhode Island in 1991. Jan-Pro began franchising the following year, offering both master and single-unit franchises, and has since grown to over 10,000 units throughout the United States and Canada.
Jan-Pro franchisees offer commercial cleaning services to businesses such as car dealerships, gyms, banks, churches, schools and offices. The company's "Cleaning Greener" initiative emphasizes the use of cleaning products that require fewer chemicals to clean more.
Number of franchises: 10,099
Franchising since: 1992
Startup costs: $3,145 - $50,405
2009 rank: #2

No. 2: Servpro
Servpro started out in 1967 as a painting business. Two years later, founders Ted and Doris Isaacson began franchising it as a cleaning and restoration company. In 1988, they moved the company from Sacramento, California to Gallatin, Tennessee in order to be within 600 miles of 50 percent of the U.S. population.
Servpro franchisees specialize in disaster restoration, offering cleanup and repairs to both commercial and residential customers whose property has suffered fire or water damage. They also offer mold remediation, carpet and upholstery cleaning, air duct and HVAC cleaning, and other related services.
Number of franchises: 1,478
Franchising since: 1969
Startup costs: $102,250 - $161,150
2009 rank: #3

No. 1: Jani-King
As a student at the University of Oklahoma in 1968, Jim Cavanaugh worked as a night auditor at a hotel chain. He realized that there would always be a need for janitorial services as long as there were office buildings. He began marketing janitorial services by day and cleaning buildings with his friends by night. Within a year, Cavanaugh established Jani-King, and in 1974 he started franchising.
A commercial cleaning service, Jani-King sets up franchisees with a customer base and charges fees depending on the size of that initial base.
Number of franchises: 13,046
Franchising since: 1974
Startup costs: $11,400 - $35,050
2009 rank: #1

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เปลี่ยนวิกฤต…ให้เป็นโอกาส…คิดต่างกัน…จึงรวยต่างกัน…

คิดเป็น รวยก่อน โดย พระพยอม

คนจำนวนมากเข้าใจว่า คนจะรวยได้ต้องเรียนสูงๆ หรือต้องจบต่างประเทศ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ความจริงจบ ป.4 ก็เป็นเศรษฐีได้
ถ้าคิดเป็น…
คน ที่เรียนสูง คนที่จบจากต่างประเทศหรือแม้แต่ดอกเตอร์จำนวนมาก ปัจจุบันเป็นลูกจ้างอยู่ในบริษัทที่มีเจ้าของบริษัทไม่จบ ป.4 ก็มีไม่น้อย
ความรวย…
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวุฒิการศึกษา แต่มันขึ้นอยู่กับสมอง ความฉลาด ขึ้นอยู่กับความคิด

ถ้าคิดเป็น จบ ป.4 ก็รวยได้

เขาบอกว่า “ถ้าอยากรวย…ต้องคิดให้เป็น”
ผู้คนก็พากันสงัสยว่า แล้วไอ้คิดเป็นเนี่ย มันคิดกันอย่างไร คนที่ร่ำรวยปัจจุบัน เขาคิดอย่างไรถึงรวย

น่าสนใจมั้ย…โยม….?

ถ้า สนใจเดินตามอาตมาไป อาตมาจะพาไปดู 108 วิธีที่จะนำท่านไปสู่ความร่ำรวย จะพาไปดูวิธีการคิดที่สร้างความร่ำรวยได้ในพริบตา แล้วทุกคนจะตกตะลึงว่า ไอ้ความรวยเนี่ย มันเกิดจากความคิดง่ายๆ วิธีการง่ายๆ ใครๆก็ทำได้
ไม่จำเป็นต้องรู้เยอะ
ไม่จำเป็นต้องเรียนสูง
ไม่จำเป็นต้องจบดอกเตอร์ต่างประเทศ

แค่จบ ป.4 ก็รวยได้แล้ว (ยิ่งมีการศึกษามาก บวกกับการคิดเป็น ก็คล้ายรถติด Turbo โดยเฉพาะต้องทันยุคเพราะ สมัยนี้เป็นสมัย Information and Global Marketing)

จบ ป.4 ก็เป็นเศรษฐีระดับแนวหน้าได้ ทันทีที่อ่านหนังสือเล่มนี้จบ ทุกคนจะร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า “เราน่าจะรวยมาตั้งนานแล้ว”

เรื่องง่ายๆแค่นี้ ทำไมเราคิดไม่เป็น อยากจะรวยหรือยัง เริ่มเลยดีมั้ย โยม

เปลี่ยนวิกฤต…ให้เป็นโอกาส…

*******************************************************************************

AutoGenic สัญจร เชียงใหม่

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2555 เวลา 09.00-23.00 น.

สถานที่ โรงแรมบีพี เชียงใหม่ ซิตี้ (ใกล้วัดพระสิงห์)

คุณเคยกลัวว่าตัวเองจะไม่ประสบความสำเร์จในชีวิตมั้ย?
คุณจิตนาการภาพความสำเร็จของคุณไม่ออกใช่รึเปล่า?
คุณกำลังลังเลไม่แน่ใจว่าตัวเองจะสำเร็จเหมือนคนอื่นที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้มั้ย?
คุณกำลังรู้สึกว่าคุณไม่เก่งเหมือนคนอื่น...
คุณคิดว่าการหาคนที่คิดเหมือนคุณ มีเป้าหมายใหญ่เหมือนคุณมันช่างยากเย็น...

ขจัดความรู้สึกเหล่านี้ออกไปฃะด้วย Autogenic Training

นี่คือคำตอบ...ของความสุขในชีวิตอย่างแท้จริง

"สุดยอดยอดคอร์สการโปรแกรมจิตแบบที่คนสำเร็จทุกคนรู้ แต่ไม่เคยบอก"

อบรม วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2555 เวลา 09.00-23.00 น
รวมค่าอาหาร 2 มื้อ คอฟฟี่เบรก ๅ เบรก

คอร์สมูลค่ามากกว่า 5000 บาท ในราคาพิเศษที่หาไม่ได้อีกแล้ว
ในราคาเพียงท่านละ 1000 บาท เท่านั้น

ปล สำหรับเด็กตั้งแต่ 12-15 ปี ราคาพิเศษ 800 บาท/ท่าน

ด่วนจำนวนจำกัดแค่ 100 ท่านแรกเท่านั้น

โทร คุณพิมพ์สิริ 083 018 9430  คุณธนพนธ์ 090 798 3374
*********************************************************************************************************************************


หัวใจ เศรษฐีข้อแรกคือ ต้องเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส คนที่จะรวยจะต้องคิดเสมอว่า วิกฤตของคนทั่วไป มันอาจจะคือโอกาสของเราก็ได้ เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เจอวิกฤต เราต้องมานั่งคิดว่า ในวิกฤตินั้น มีโอกาสอะไรให้เราบ้าง ถ้าคุณหาเจอความรวยก็จะวิ่งมาหาคุณ เพราะโดยปรกติ คนเราส่วนใหญ่พอเจอวิกฤติในชีวิตเข้าก็นั่งกลุ้ม ไอ้เราพอไปเห็นเข้าก็เลยพลอยกลุ้มกับมันไปด้วย
เหมือนกับว่าเรื่องนั้นมันกำลังเกิดขึ้นกับเราเช่นกัน
เพราะอะไรหละ…โยม
เพราะอะไร…เราจึงกลุ้ม…
เพราะเราคิดเหมือนเขา พอเขากลุ้มเราก็เลยกลุ้มไปด้วย
คน จะรวยต้องคิดเป็น คนที่คิดเป็น จะต้องคิดให้แตกต่างจากคนอื่น อาตมาจะลองฉายภาพให้เห็นกันชัดๆ สักภาพหนึ่ง แล้วโยมจะบอกว่า การเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส ไม่ใช่เรื่องยาก

คิดต่างกัน…จึงรวยต่างกัน…

เมื่อ ตอนเกิดสงครามโลก ทุกคนตกอกตกใจ ร้องห่มร้องไห้ วิตกกังวล หวาดกลัว ขนลูกขนเต้า แก้วแหวนเงินทอง ทรัพย์สมบัติมีค่าหนีภัยสงครามกันหัวซุกหัวซุน
คนไทยทั้งประเทศนั่งคอตกกลุ้มกับสงคราม
ทุกคนมองว่าสงครามเป็นวิกฤติ
มี คนจีนกลุ่มหนึ่ง ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในปะรเทศไทย คนกลุ่มนี้คิดไม่เหมือนคนไทย พอเกิดสงครามปุ๊ป เขามานั่งสุมหัวกันเลย ช่วยกันคิด เขาคิดว่าเขาจะหาโอกาสจากสงครามได้อย่างไร
พอสงครามจบปุ๊ป
คน ไทยเจอพิษสงคราม สิ้นเนื้อประดาตัวไปตามๆกัน แต่คนจีน…รวย…เป็นมหาเศรษฐีกันถ้วนหน้า เพราะในขณะที่คนไทยหนีสงครามกันหัวซุกหัวซน คนจีนขนเอาสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพเข้ามาขาย คนไทยก็แห่กันซื้อ และต้องซื้อราคาแพงกว่าปรกติหลายเท่าตัว
คนจีนกลุ่มที่ว่านี้ ปัจจุบันเป็นเจ้าของกิจการที่ร่ำรวยและใหญ่โตที่สุดในประเทศไทยหลายบริษัท หลายคนตายไปแล้ว ทิ้งอภิมหาทรัพย์สมบัติมรดกความร่ำรวยเอาไว้ให้ ชนิดที่ใช้กัน 7 ชั่วโครตก็ยังไม่หมด

เห็นภาพไหม โยม???

ทุกคนอยู่ในสงครามเดียวกัน
คนไทยมองว่าสงครามเป็นวิกฤติ
แต่คนจีนมองว่าสงครามคือโอกาส

แค่คิดต่างกันนิดเดียว รวยต่างกันมหาศาลเลย

เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ต้องคิดอยู่เสมอว่า วิกฤตของคนอื่น…อาจจะเป็นโอกาสของเราก็ได้…

อย่าคิดเหมือนใคร ต้องคิดให้แตกต่าง ต้องคิดให้เป็น เพราะคนคิดเป็น...จะรวยก่อนเสมอ

ขอบคุณคุณสมคิด ลวางผมร