วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2561

นิทานก่อนลงทุน หุ้นห่านทองคำ VS หุ้นห่านไข่ทองคำ !!!

นักลงทุนในตลาดทุกคนต่างมีความปรารถนาจากการลงทุนไม่ต่างกัน คือ “ต้องการผลตอบแทนที่ดี” ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์ที่หลายคนชื่นชอบ คือ การนำเงินไปลงทุนกับหุ้นพื้นฐานดีที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เสมือนการได้ผลตอบแทนจากห่านที่ออก “ไข่ทองคำ” เช่นเดียวกันกับนิทานเรื่อง…นิทานเรื่องอะไรนะ? “ห่านทองคำ” หรือ “ห่านไข่ทองคำ”? เรื่องไหนกันนะ?
สาเหตุที่เราต้องมาคุยกันเรื่อง “นิทาน” เกี่ยวกับห่าน และไข่ทองคำเป็นเพราะ ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับพีค ดัชนียืนที่1,700จุดปลายๆ — 1,800 จุด เลยทำให้นักลงทุนหลายคน สนใจลงทุนใน “หุ้นปันผล” เพื่อนำเงินเข้าไปหลบภัยในแหล่งที่เชื่อมั่นได้ว่า จะไม่ทำให้เงินลงทุนได้รับผลกระทบมากนัก และยังได้รับผลตอบแทนที่มั่นคงจากการจ่ายเงินปันผลของหุ้นเหล่านั้น
อย่างไรก็ตามแม้นักลงทุนจะมีเป้าหมายการลงทุนในหุ้นปันผลเหมือนกัน แต่หลายคนก็ใช้คำนิยาม เรียกขานหุ้นที่ต่างกันไป บ้างก็เรียกหุ้นชนิดนี้ว่า เป็น“หุ้นห่านทองคำ” บ้างก็เรียกว่า “หุ้นห่านไข่ทองคำ” หรือแม้กระทั่งเรียกทั้งสองชื่อคละกันไปตามอารมณ์ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ที่มาของ “ห่านทองคำ” กับ “ห่านไข่ทองคำ”เป็นคนละเรื่องกัน
นิทานเรื่อง “ห่านไข่ทองคำ” หรือ “The Goose That Laid the Golden Eggs” นั้น เป็นหนึ่งในเรื่องที่เล่าขานมาจาก “นิทานอีสป” ซึ่งมีเนื้อหาว่า “สามีภรรยาชาวชนบทคู่หนึ่ง (บางท้องถิ่นเล่าว่าชายชาวชนบทรายหนึ่ง) มีห่าน (บางท้องถิ่นเล่าว่าเป็นแม่ไก่) ที่ออกไข่เป็นทองคำเป็นทองคำทุกวัน แต่อยู่มาวันหนึ่งสามีภรรยาคู่นี้ก็คิดขึ้นมาว่า ในท้องของห่าน จะต้องมีก้อนทองอยู่ข้างในแน่ๆ จึงได้ร่วมมือกันผ่าท้องห่านออกมา เพียงเพราะหวังว่า จะได้ก้อนทองคำอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอให้ห่านออกไข่วันละฟองเหมือนที่เคย อย่างไรก็ตามเมื่อผ่าท้องห่านเสร็จแล้ว ทั้งสองกลับต้องพบกับความผิดหวัง เพราะในท้องห่านไม่มีทองคำที่พวกเขาคาดหวังอยู่เลย แถมห่านที่ออกไข่เป็นทองคำ กลับต้องมาตายลงไปด้วย”
นิทานเรื่อง “ห่านไข่ทองคำ” หรือ ห่านที่ออกไข่เป็นทองคำ จึงจบลงด้วยคติสอนใจที่ว่า “โลภมากจะลาภหาย”
ส่วนอีกเรื่อง คือ “ห่านทองคำ” หรือ “Golden Goose” นิทานเรื่องนี้ เป็นหนึ่งในเรื่องที่เล่าขานจากสองพี่น้องตระกูลกริมม์ คือ ยาค็อบ กริมม์ และวิลเฮล์ม กริมม์ นักวิชาการชาวเยอรมันซึ่งรวบรวมนิทานพื้นบ้านและเทพนิยายรวมถึงผลงานเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางภาษาที่มีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ซึ่งนับว่าเป็นนักเล่านิทานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคู่หนึ่งในยุโรป ทำให้เทพนิยายมากมายแพร่หลายไปทั่วโลก
โดยเนื้อหาของเรื่อง “ห่านทองคำ” มีใจความว่า “ครอบครัวหนึ่งมีลูกชาย3คน ซึ่งทั้งสามพี่น้องได้ถูกส่งไปตัดไม้ในป่า โดย “ลูกชายคนโต” ได้เดินทางออกไปคนแรก พร้อมขนเสบียงไปทั้งเค้กและไวน์ติดตัวไปด้วย ระหว่างทางเขาได้พบชายชราตัวเล็กผมสีเทาที่เข้ามาขอแบ่งปันอาหารด้วย แต่เขากลับไม่ยอมเจียดให้ และมุ่งหน้าเดินทางต่อไปเพื่อตัดต้นไม้ น่าเสียดายที่ลูกชายคนโตทำตามความตั้งใจไม่สำเร็จ เพราะประสบอุบัติเหตุจนต้องกลับบ้านไปก่อน จากนั้นเมื่อ “ลูกชายคนที่สอง” เดินทางเข้าไปตัดไม้ และได้พบกับชายชราที่เข้ามาขอแบ่งปันอาหาร แต่เขาไม่ยอมเจียดให้ ก็ประสบเหตุการณ์เช่นเดียวกับพี่ชายคนโต จนต้องกลับบ้านไปเช่นเดียวกัน
คราวนี้เมื่อลูกชายคนที่ 3 ชื่อ “ซิมเปิลตัน” (Simpleton) ถูกส่งออกไปตัดไม้บ้าง เขาก็ต้องพบชายชราเช่นเดียวกับพี่ชายทั้งสอง เพียงแต่ซิมเปิลตันได้แบ่งเสบียงให้ชายชราด้วยความเอื้ออาทร ด้วยเหตุนี้เอง ชายชราจึงได้ตอบแทนเขาด้วยการให้เขาไปที่ต้นไม้ที่เลือกไว้ และเมื่อซิมเปิลตันตัดต้นไม้นั้น ก็พบ “ห่านทองคำล้ำค่า”
เมื่อซิมเปิลตันอุ้มห่านทองคำเดินทางต่อไปเรื่อยๆจนถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง ก็ได้พบกับลูกสาวคนโตของเจ้าของโรงแรม ซึ่งเมื่อนางเห็นเจ้าห่านก็รู้สึกต้องตาต้องใจอย่างมาก จึงพยายามจะดึงขนห่านทองคำออกมา แต่ทันใดนั้นเอง! เมื่อนางเอื้อมมือไปแตะโดนเจ้าห่าน มือของนางก็ติดแน่นอยู่กับตัวห่าน ดึงเท่าไรก็ไม่ออก
พอลูกสาวคนรองเห็นดังนั้น จึงรีบเข้ามาดึงพี่สาวคนโตหวังที่จะช่วยเหลือ แต่มือก็ติดแน่นกับตัวพี่สาวคนโตดึงเท่าไรก็ดึงไม่ออกเช่นกัน ลูกสาวคนสุดท้องจึงเข้ามาช่วยดึงพี่สาวคนรอง แต่ก็ต้องติดพ่วงกันไปอีกทอดหนึ่ง ดังนั้นซิมเปิลตันจึงจำใจต้องอุ้มห่านทองคำที่มีหญิงสาวสามคนติดอยู่ เดินทางต่อไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามระหว่างเดินทางไปนั้นบาทหลวง ผู้ดูแลโบสถ์ และผู้ใช้แรงงานอีกสองคน พยายามจะเข้าไปช่วยคน แต่ทุกคนก็ประสบชะตากรรมเดียวกับ คือ ตัวติดกันไป จนกลายเป็นขบวนพาเหรดเกาะต่อเป็นแถวอย่างไม่ตั้งใจ ซิมเปิลตันจึงเดินทางต่อไปเรื่อยๆ กระทั่งผ่านเส้นทางที่จะไปยังปราสาท
ณ ปราสาทแห่งหนึ่ง มีพระราชาซึ่งอาศัยอยู่กับเจ้าหญิงองค์หนึ่ง ซึ่งไม่เคยหัวเราะมาก่อนเลยในชีวิต ดังนั้นพระราชาจึงมีการตั้งกติกาว่าหากใครทำให้เจ้าหญิงหัวเราะออกมา จะได้อภิเษกกับเจ้าหญิง แม้จะดูเป็นเรื่องที่ยากเย็น แต่เมื่อซิมเปิลตันกับห่านทองคำและคนเจ็ดคนเดินแถวผ่านมา พระธิดาที่ทอดพระเนตรมองทางหน้าต่างเห็นเข้าก็หัวเราะอย่างหนักจนน้ำหูน้ำตาไหล ซิมเปิลตันจึงถือว่าเป็นผู้ทำภารกิจสำเร็จ และได้แต่งงานกับพระธิดาครองอาณาจักรอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขจนชั่วนิรันด์…
เมื่อเล่านิทานทั้งสองเรื่องจบ นักลงทุนอาจจะพอเห็นได้ชัดขึ้นแล้วว่า ความหมายที่แท้จริงของ “หุ้นปันผล” น่าจะมาจากนิทานเรื่องแรก คือ “ห่านไข่ทองคำ”มากกว่า เพราะห่านชนิดนี้ สามารถออกไข่ ให้ผลตอบแทนงอกเงยแก่นักลงทุนได้ (ถ้าไม่ไปผ่าท้องมันเสียก่อน)
ส่วนนิทานเรื่อง “ห่านทองคำ” น่าจะเหมาะกับการเป็นตัวแทนของการเรียกชื่อ “หุ้นน้ำดี หรือ หุ้นพื้นฐาน” ซึ่งแน่นอน…หุ้นประเภทนี้อาจไม่มีไข่ทองคำ หรือ เงินปันผลให้สูงนัก แต่ก็เป็นหุ้นดี ที่ใครๆก็อยากได้ จนต้องต่อแถวเป็นขบวน และเมื่อเห็นหุ้นตัวนี้ในพอร์ต ก็ควรจะต้องมีความสุขหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหลได้เหมือนกับเจ้าหญิง
อ่านนิทานสองเรื่องจบแล้ว…หวังว่านักลงทุนทุกท่านจะนอนหลับฝันดีในคืนนี้ มี “หุ้นห่านทองคำ” และ “หุ้นห่านไข่ทองคำ” สร้างผลตอบแทนให้พอร์ต สร้างความสุขดังเทพนิยายชั่วนิจนิรันด์

ตามรอยวิถีเซียนลงทุน หุ้นห่านทองคำ โดย SET Official!!!

ตามรอยวิถีเซียนลงทุน หุ้นห่านทองคำ โดย SET Official

ยุทธศาสตร์หุ้นห่านทองคำ

ผู้เขียน  เทพ รุ่งธนาภิรมย์
ราคาพิเศษ 190.00 บาท 200.00 บาท
หนังสือเล่มนี้จะเป็นเสมือคู่มือที่จะพาท่านก้าวสู่อิสรภาพทางการเงินตาม เป้าหมายที่ตั้งไว้ ช่วยให้ท่านผู้อ่านได้รู้ ได้เข้าใจและสามารถวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการดูคุณภาพของหลักทรัพย์โดยการวิเคราห์ปัจจัยพื้นฐาน การสร้างมูลค่าหลักทรัพย์อย่างมีคุณภาพ การวิเคราะห์และประเมินความสามารถของผู้บริหารและยังได้เสนอแนะกลยุทธ์และเทคนิคการลงทุนในหุ้น เชิงลึกให้ท่านสามารถนำไปลงทุนได้จริ
ภาคที่ 1 ในถ้ำเสือ
ภาคที่ 2 คุณภาพของห่าน
ภาคที่ 3 มูลค่าแห่งหุ้น
ภาคที่ 4 ในสมรภูมิ
ภาคที่ 5 แผนสู่อิสรภาพ
ภาคที่ 6 เป็นไทอย่างพอเพียง

"ยุทธศาสตร์หุ้นห่านทองคำ" จะมีส่วนช่วยเสริมให้ท่านผู้อ่านมีความรู้อย่างเพียงพอ และสามารถก้าวสู่ความเป็นไททางการเงินได้ โดยมีหุ้นเป็นตัวทำงานให้ ข้อสำคัญ เมื่อมีความรู้แล้ว ควรลองนำไปประยุกต์ใช้ดู โดยถือผิดเป็นครู อย่ามัวรอเรียนรู้จนสมบูรณ์ โอกาสดีๆ อาจผ่านพ้นไปอย่างน่าเสียดาย ผมต้องขอขอบคุณท่านนักลงทุนมากมายหลายคน ที่ได้ตั้งคำถามให้ข้อคิดเห็น ทำให้ผมได้เปิดโลกทัศน์ในการลงทุนได้กว้างมากขึ้น

เคล็ดลับ กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ!!!

หุ้นห่านทองคำคืออะไร ข้อมูลจากนักศึกษาแม่โจ้

หนังสือ กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ 

ราคาพิเศษ สั่งซื้อได้เลย!!!
160.00 บาท
152.00 บาท

เผยเทคนิคการลงทุน การบริหารความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการลงทุนที่เหมาะสมตามสถานการณ์ พร้อมเคล็ดลับในแง่มุมต่างๆ ให้แก่ผู้สนใจลงทุน
 "กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ" เล่มนี้ เปรียบเสมือนเป็นคัมภีร์ด้านการลงทุน สำหรับผู้ลงทุนมือใหม่ที่ต้องการลงทุนในหุ้น โดยผู้เขียนได้ถ่ายทอดถึงขั้นตอนการเลือกหุ้น กลเม็ดเคล็ดลับ และเทคนิคการลงทุน โดนเน้นหุ้นคุณค่า ภายใต้การบริหารความเสี่ยง และการลงทุนที่เหมาะสมในทุกสภาวะตลาด ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านให้ได้เตรียมความพร้อม ตลอดจนสามารถนำไปปฏิบัติใช้ในการเลือกหุ้นคุณภาพ ได้รับผลตอบแทนที่ดีและประสบผลสำเร็จดังที่ตั้งใจไว้
บทที่ 1 เป็นไททางการเงิน
บทที่ 2 เข้าถ้ำเสือ
บทที่ 3 หุ้นห่านทองคำ
บทที่ 4 คัดเลือกหุ้นห่านทองคำ
บทที่ 5 พรมวิเศษ
บทที่ 6 กระจกวิเศษ
บทที่ 7 ลายแทงขุมทรัพย์
บทที่ 8 มดงาน
บทที่ 9 รวมพลังมด
บทที่ 10 สวนแห่งเสรีภาพ
หนังสือ
160.00 บาท
152.00 บาท

คำนิยม
เป็นหนังสือที่เผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น รวมทั้งเปิดเผยเทคนิคการลงทุน การบริหารความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการลงทุนที่เหมาะสมตามสถานการณ์ พร้อมเคล็ดลับในแง่มุมต่างๆ ให้แก่ผู้สนใจลงทุน รวมทั้งนักลงทุนมือใหม่ได้เป็นอย่างดีภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ- นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์
ผู้ลงทุนจำเป็นต้องศึกษาความรู้ด้านการเงินให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อเลือกลงทุนหุ้นได้อย่างปลอดภัยและสามารถเก็บไข่ทองคำจากห่านทองคำ ความรู้เท่านั้นที่เป็นตัวเชื่อมสู่ความมั่งคั่ง หรือ สามารถให้เงินทำงานมีรายได้เพิ่มพูนโดยไม่ต้องทำงาน ซึ่งหนังสือเล่มนี้มีคำตอบให้โดยอาศัยเครื่องมือ "พรมวิเศษ" "กระจกวิเศษ" "ลายแทงขุมทรัพย์"มงคล ลีลาธรรม- นายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย


สินเชื่อโนชาตเล่มแลกเงิน!!!

สินเชื่อธนชาตเล่มแลกเงิน เป็นสินเชื่อสำหรับเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ ที่ต้องการเงินสดด่วน/ร้อนเงินเพื่อใช้จ่ายส่วนตัว หรือเสริมสภาพคล่องธุรกิจ โดยใช้เล่มทะเบียนรถยนต์เป็นหลักประกัน ซึ่งลูกค้ายังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และใช้รถยนต์ได้ตามปกติ โดยสินเชื่อธนชาตเล่มแลกเงิน คิดอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก ทำให้ลูกค้าสามารถชำระค่างวดมากกว่าที่กำหนดเพื่อตัดเงินต้นได้ หรือที่เรียกว่าโปะค่างวด และสามารถปิดบัญชีก่อนกำหนดโดยไม่มีค่าปรับ นอกจากนี้ค่างวดของสินเชื่อธนชาตเล่มแลกเงิน ยังไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่มอีกด้วย ติดต่อ สินเชื่อธนชาตเล่มแลกเงิน สินเชื่อธนชาตรถแลกเงิน สมัครออนไลน์ ได้แล้ววันนี้

โปะเพลินสามารถผ่อนค่างวดมากกว่าที่กำหนด จ่ายโปะค่างวดได้
ปิดไวยิ่งโปะมาก เงินต้นลด ดอกเบี้ยลด ปิดไวขึ้น
สบายใจผ่อนหมดเร็ว สบายใจ

6 สุดยอดนิทานประกอบ การเรียนป.เอก (ฉบับคลายเครียด)

นิทานประกอบ การเรียนป.เอก
          (ฉบับคลายเครียด)
                    •••

๑. เกิดไฟใหม้ที่โรงอาบน้ำหญิง กลุ่มหญิงเปลือยล่อนจ้อนวิ่งหนีเอาตัวรอด ออกมาบนท้องถนน ตาแก่คนหนึ่งตะโกนฮาป่า บรรดาหญิงเปลือยนึกขึ้นได้ จึงพยายามใช้มือปกปิด แต่จุดล่อแหลมมีอยู่ หลายจุด จึงต่างจ้าละหวั่นทำอะไรไม่ถูก ตาแก่ตะโกนบอก
“ปิดใบหน้าก็พอ ข้างล่างมันเหมือนกันหมด” 

นิทานเรื่องนี้ให้แนวคิดว่า ในภาวะฉุกเฉินไม่อาจทำอะไรให้รอบคอบทุกด้าน จับจุดสำคัญก็พอ 

๒. สาวใหญ่แจ้งความกับตำรวจ..“ดิฉันเสียบกระเป๋าเงินไว้ในยกทรง ในรถไฟใต้ดิน เบียดเสียดจนถูกหนุ่มหล่อล้วงกระเป๋าไป”
- ตำรวจขมวดคิ้ว..“ล้วงในจุดล่อแหลมขนาดนี้ คุณไม่รู้สึกตัวเลยหรือ?”
- สาวใหญ่ค่อยตอบอย่างเหนียมอาย..“ก็ไม่นึกว่าเขาตั้งใจจะล้วงกระเป๋านี่ค๊ะ”

นิทานเรื่องนี้ให้แนวคิดว่า การทำให้ลูกค้าตกอยู่ในภาวะเคลิบเคลิ้มพอใจที่จะถูกรีดเงิน เป็นชั้นเชิงสูงสุดทางธุรกิจ 

๓. บริษัทติดข้อความเหนือโถปัสสาวะ..
“ก้าวเข้าไปอีกนิด ใกล้ชิดอารยธรรม” ..แต่บนพื้นก็ไม่วายมีฉี่เรี่ยราดเฉอะแฉะ
- บริษัทศึกษาบทเรียนอย่างจริงจัง แล้วปรับแผนใหม่ดังนี้..
“ฉี่ไม่ตรงเป้าโถ..แสดงว่าของคุณอ่อน ฉี่เล็ดก่อนถึงโถ..แสดงว่าของคุณสั้น” ผลปรากฏว่าพื้นสะอาดกว่าเดิมเยอะทีเดียว 

นิทานเรื่องนี้ให้แนวคิดว่า การให้คำแนะนำแก่ลูกค้า ต้องเป็นรูปธรรม และแทงถูกใจดำ...

๔. วันหนึ่ง เลขานุการสาวตีหน้าขึงขังกับผู้จัดการ..
 “ผู้จัดการ ดิฉันตั้งท้องอ่ะ”
- ผู้จัดการได้ยินดังนั้น ยังคงก้มหน้าอ่านเอกสาร แล้วตีหน้าตายพูดว่า..“ผมทำหมันตั้งนานแล้ว”
- เลขานุการสาวตะลึงอยู่ชั่วขณะ แล้วยิ้มให้ผู้จัดการ..“ดิฉันพูดเล่นจ้ะ.!!”
- ผู้จัดการเงยหน้ามองเธอ..“ผมก็เหมือนกัน" ..พร้อมกับจิบน้ำชา

นิทานเรื่องนี้ให้แนวคิดว่า คนที่อยู่ในสังเวียนต้องไม่ตระหนกตกใจง่ายเมื่อเผชิญภาวะวิกฤต แม้มีปืนมาจ่อ ก็ตั้งตัวรับได้

๕. ชายหนุ่มไปขอลูกสาว ..ว่าที่พ่อตาให้แต่ละคนแนะนำตัว..
- ก.บอกว่า..“ผมมีเงิน ๑๐ ล้าน”
- ข.บอกว่า..“ผมมีคฤหาสน์หรูมูลค่า ๒๐ ล้าน”
- ว่าที่พ่อตาฟังแล้วรู้สึกพอใจ แล้วถาม ค.ว่ามีอะไร
- ค.ตอบ..“ผมไม่มีอะไรเลย ..มีแต่ลูกคนเดียว ที่อยู่ในท้องลูกสาวคุณ”
- ก. กับ ข. ได้ยินแล้ว ก็ลาจากไป

นิทานเรื่องนี้ให้แนวคิดว่า อำนาจแข่งขันไม่อยู่ที่กำลังทรัพย์ แต่อยู่ที่การจัดวางคนของเรา ในตำแหน่งที่สำคัญ 

๖. เถ้าแก่เบื่อเมียลับเต็มทน เพราะ เมียลับเริ่มแก่ตัว + ขอค่าเลี้ยงดูก้อนใหญ่ เถ้าแก่คิดจะฆ่าปิดปาก แต่ CFO เสนออุบายให้เถ้าแก่ออกทุนแสน ส่งเมียลับไปเรียน Ex-MBA โดยอ้างเหตุผลเพื่อยกระดับวุฒิการศึกษา ในห้องเรียนล้วนเป็นนักศึกษาระดับเถ้าแก่ ต่างหลงเสน่ห์นักศึกษาสาวเมียลับคนนี้ ไม่ช้าไม่นานเมียลับก็ไม่ขออยู่กับเถ้าแก่เก่าแล้ว แถมยังให้เงินล้านแก่เถ้าแก่เก่าเป็นค่าปิดปากอีก

นิทานเรื่องนี้ให้แนวคิดว่า การจัดการทรัพย์สินด้อยคุณภาพของธุรกิจ วิธีที่ดีที่สุดคือย้อมแมวตกแต่ง แล้วแปลงทรัพย์สินให้เป็นทุน ไม่ใช่ถือเป็นซากทิ้งไป หรือรอให้ย่อยสลายเอง...
                   •••••
 นิทานประกอบ การเรียนป.เอก
          (ฉบับคลายเครียด)

--------------------------------------------------------------------------------------------สนับสนุนโดย SE-ED แหล่งรวมหนังสือดีๆ เพื่อคุณๆ

หนังสือพูดได้ ซีรีส์คบบัณฑิตติดรถฟัง ตอน สั่งเงินให้ทำงานหนัก ชุด 1

สรุป 36 เคล็ดลับ เทคนิค หลักคิดล่าสุดของโลก จาก 12 ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนและการสร้างความมั่งคั่งระดับโลก...สั่งซื้อได้เลย Audio CD ในราคา 480 บาท!!!

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2561

สุนทรพจน์อันยอดเยี่ยมจาก Steve Jobs สูความสำเร็จ!!!

VDO from English Speeches YouTube Channel
Steve Jobs Commencement@Stanford University

แปลเป็นไทยโดย TechXcite.com สุนทรพจน์ในพิธีมอบปริญญาบัตร มหาวิทยาลัย สแตนฟอร์ด 12 มิถุนายน 2005


ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่วันนี้ได้มาร่วมในพิธีมอบปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยที่ถือว่ามีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในโลก ความจริงที่ทุกคนรู้กัน ผมไม่เคยจบมหาวิทยาลัย และครั้งนี้เป็นครั้งที่ผมได้เข้าใกล้พิธีรับปริญญาบัตรมากที่สุดในชีวิต
       วันนี้ผมอยากจะขอเล่าเรื่องสามเรื่องในชีวิตผม สามเรื่องแค่นั้น เรื่องแรกคือ การลากเส้นต่อจุด (Connecting The Dots ...ขอขยายความของคำนี้เพราะถือว่าเป็น Highlight ของ Speech นี้ก็ว่าได้ครับ อ่านต่อ) ผมลาออกจากมหาวิทยาลัย Reed หลังจากที่เรียนไปได้แค่ 6 เดือน แต่ก็ยังแอบเนียนเรียนต่ออยู่อีกราว 18 เดือนก่อนจะออกจริงๆ
       
       แล้วเพราะอะไรผมถึงลาออก สาเหตุนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนผมเกิด แม่ที่ให้กำเนิดผมเป็น นักศึกษาสาวท้องก่อนแต่ง เธอตัดสินใจยกผมให้คนอื่นรับไปเลี้ยงดูแทน โดยตั้งใจไว้ว่าคนที่รับผมไปเลี้ยง จะสามารถเลี้ยงดูผมได้จนจบปริญญา
       
       ทุกอย่างจึงจัดเตรียมไว้เรียบร้อยว่าผมจะได้พ่อบุญธรรมที่เป็นทนายความกับภรรยารับไปเลี้ยง ทุกอย่างดูลงตัวจนกระทั่งผมเกิดออกมา พ่อแม่บุญธรรมที่เลือกผมไว้กลับเปลี่นใจอยากได้ลูกผู้หญิง
       
       ดังนั้นพ่อแม่ปัจจุบันของผม ซึ่งมีชื่อยู่ในรายชื่อที่รอคอยอุปการะ จึงได้รับโทรศัพท์กลางดึกคืนนั้น ปลายสายถามว่า "เราบังเอิญได้เด็กทารกผู้ชายพวกคุณอยากรับไปเลี้ยงไหม?" พ่อแม่ผมก็ตอบไปว่า "รับ"
       
       แต่แม่ที่ให้กำเนิดผมมารู้ที่หลังว่า แม่บุญธรรมของผมไม่ได้จบปริญญา ส่วนพ่อบุญธรรมก็ไม่ได้เรียนจบมัธยมปลาย เลยเปลี่ยนใจไม่ยอมเซ็นเอกสารยกผมให้พ่อแม่บุญธรรมไปอุปการะ เธอลังเลใจอยู่นาน แต่ในที่สุดก็ยอมยกผมให้ เพราะพ่อแม่บุญธรรมผมสัญญาไว้ว่าจะเลี้ยงดูผมจนจบปริญญาให้ได้
       
       นี่คือจุดเริ่มต้น ของชีวิตผม
       
       17 ปีต่อมา ผมก็ได้เข้ามหาวิทยาลัย แต่ด้วยความไร้เดียงสา ผมดันเลือกไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ค่าเทอมแพงเกือบเท่าสแตนฟอร์ด แล้วผมก็ใช้เงินเก็บของพ่อแม่ตัวเอง ที่เป็นคนทำงานกินเงินเดือนมาเป็นค่าเทอม
       
       หลังจากเรียนไปได้ 6 เดือน ผมก็รู้สึกไม่เห็นจะได้อะไรจากสิ่งที่เรียนไป แล้วก็ไม่เห็นว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยจะช่วยให้ผมรู้จักตัวเองมากขึ้น แล้วผมจะผลาญเงินเก็บที่พ่อแม่ผมหามาชั่วชีวิตไปทำไม
       
       ผมเลยตัดสินใจลาออก ได้แต่ภาวนาขอให้เรื่องทุกอย่างลงเอยด้วยดี ที่จริงผมก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน แต่เมื่อมองย้อนกลับไป มันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของผมเลยทีเดียว ทันทีที่ผมลาออก ทำให้ผมไม่ต้องเรียนวิชาที่ไม่อยากเรียน และเลือกเรียนแต่วิชาที่อยากมากกว่า
       
       แต่ชีวิตไม่ง่ายเหมือนในนิยาย ผมไม่มีหออยู่เลยต้องอาศัยพื้นห้องเพื่อนเป็นที่นอน ต้องเก็บขวดโค้กไปแลกเงินขวดละ 5 เซนต์ เพื่อนำเงินไปซื้อข้าว แล้วก็ต้องเดินทางไปโบสถ์ทุกคืนวันอาทิตย์ระยะทาง 5 ไมล์ เพื่อหาอาหารดีๆทานสักมื้อ แต่ผมก็ชอบนะ
       
       แล้วการที่ผมทำตามสัญชาตญาณอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง ภายหลังกลับกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาล ยกตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัย Reed ในตอนนั้นมีวิชาการประดิษฐ์ตัวอักษร ที่อาจะเรียกได้ว่าดีที่สุดในประเทศ ทั่วทั้งมหาวิทยาลัย โปสเตอร์ หรือป้ายที่ติดตามบอร์ดต่างๆ ล้วนมือแต่ตัวหนังสือที่เขียนด้วยมือ
       
       เพราะผมลาออกเลยไม่ต้องไปเรียนวิชาบังคับ ผมจึงได้เรียนวิชาประดิษฐ์ตัวอักษร และเรียนรู้วิธีประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นมา เรียนรู้ว่าแบบตัวพิมพ์ Serif หรือ Sen Serif คืออะไร เรียนวิธีการวางช่องไฟระหว่างตัวอักษร การออกแบบตัวอักษรให้สวย ทำอย่างไร
       
       มันกลายเป็นศิลปแขนงหนึ่งที่สวยงาม และใช้การออกแบบที่ละเอียดอ่อนขนาดที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถทำได้เหมือน และที่สำคัญผมหลงใหลกับวิชานี้มากทีเดียว แต่ผมไม่เคยคิดว่าผมจะเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้ประโยชน์อะไรในชีวิต
       
       จนกระทั่ง 10 ปีต่อมา เมื่อผมกับเพื่อนออกแบบเครื่อง แมคอินทอช เครื่องแรก จึงได้รื้อฟื้นวิชาพวกนี้ขึ้นมาอีกครั้ง และดีไซน์ตัวอักษรทั้งหมดลงไปในเครื่องแมค จึงกลายเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีการออกแบบตัวหนังสืออย่างสวยงาม
       
       ถ้าไม่ใช่เพราะผมเลือกเรียนวิชานั้น เครื่องแมคคงไม่มีแบบตัวอักษรที่หลากหลาย และการจัดช่องไฟที่สวยงามแบบนี้ และถ้า วินโดวส์ ไม่ได้มาลอกเลียนแบบจาก แมค ไป คงไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องไหนในปัจจุบันที่มีฟอนต์สวยงามแบบนี้
       
       ถ้าผมไม่ได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยตอนนั้น ผมคงไม่ได้เรียนวิชาออกแบบตัวอักษร และคอมพิวเตอร์ทุกวันนี้คงไม่มีฟอนต์สวยๆแบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน แน่นอนว่าคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าผมจะพยายามลากเส้นต่อจุดอนาคตของตัวเองตอนที่ผมเรียนอยู่ แต่เมื่อมองย้อนกลับไป 10 ปีให้หลังจุดแต่ละจุดนั้นมันชัดเจนมากๆ
       
       ดังนั้น ผมขอบอกว่าเราไม่สามารถลากเส้นต่อจุดเมื่อมองไปในอนาคต เราจะเห็นมันก็ต่อเมื่อ เรามองย้อนกลับไปในอดีตเท่านั้น จึงต้องเชื่อว่าจุดทั้งหลายที่ผ่านมาในชีวิตคุณ มันจะหาทางลากเส้นต่อเข้าหากันเองในอนาคต
       
       ต้องเชื่อมั่นและศรัทธาในบางสิ่งบางอย่างอย่างแน่วแน่ เพราะความเชื่อที่เรามีต่อจุดแต่ละจุดนั้น ในที่สุดมันจะเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเอง และมันจะให้ความมั่นใจทำตามสิ่งที่หัวใจคุณต้องการ ถึงแม้บางครั้งมันอาจจะพาคุณออกนอกเส้นทางบ้าง และสิ่งนั้นจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน
       
       เรื่องที่สองของผมเกี่ยวกับความรัก และการสูญเสีย ผมโชคดีที่ผมค้นพบสิ่งที่ผมรักตั้งแต่อายุยังน้อย ผมกับวอซเริ่มทำบริษัท แอปเปิล ด้วยกันในโรงรถของพ่อตอนอายุ 20 ปี เราทำงานกันอย่างหนัก 10 ปีต่อมา แอปเปิลเติบโตจากเรา 2 คนที่ทำงานกันในโรงรถกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่า 2,000 ล้านเหรียญ พนักงงานมากกว่า 4,000 คน
       
       เราเปิดตัวยนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเราอย่าง แมคอินทอช ปีเดียวก่อนที่ผมจะอายุครบ 30 หลังจากนั้นผมก็ถูกไล่ออก คนเราจะถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองสร้างขึ้นมาได้อย่างไร? ก็คือว่าในขณะที่ แอปเปิล เติบโตขึ้น เราก็จ้างคนที่ผมคิดว่ามีความสามารถมาก มาบริหารบริษัทกับผม
       
       ช่วงปีแรกผ่านไปด้วยดี แต่หลังจากนั้นวิสัยทัศน์ก็เริ่มไปคนละทิศละทาง จนในที่สุดก็ถึงขั้นแตกหัก และกรรมการบริษัทคนอื่นก็เข้าข้างผู้บริหารคนนั้นด้วย ผมจึงถูกไล่ออกตอนอายุ 30 แล้วก็เป็นการออกที่ครึกโครมด้วย
       
       ผมสูญเสียสิ่งที่ทุ่มเทมาตลอดในช่วงวัยทำงานของผม หลังจากเหตุการณ์นั้นผมเสียศูนย์ไปหลายเดือน เพราะผมรู้สึกเหมือนตัวเองทำให้นักธุรกิจในยุคก่อนหน้าผมต้องเสื่อมเสีย เหมือนกับเป็นวาทยากรที่ทำให้ไม้บาตองที่รับสืบทอดมาตกลงไป
       
       ผมได้พบกับ เดวิด แพกการ์ด และ บ็อบ นอยซ์ เพื่อขอโทษที่ผมทำให้วงการเสื่อมเสีย ความล้มเหลวของผมเป็นข่าวดังครึกโครมจนผมอยากจะหนีไปจากวงการคอมพิวเตอร์ แต่ก็มีบางอย่างเริ่มชี้ทางสว่างแก่ผมว่า ยังไงผมก็รักสิ่งที่ผมทำ
       
       เหตุการณ์พลิกผันใน แอปเปิล ไม่ได้เปลี่ยนความรักนั้นแม้แต่น้อย ผมถูกปฏิเสธ แต่ผมก็ยังรักมัน จึงตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ ผมได้เรียนรู้ทีหลังว่าการที่ถูกไล่ออกจากแอปเปิล เป็นสิ่งที่ดีที่สุดอีกอย่างหนึ่งในชีวิต จากเมื่อก่อนที่ต้องแบกความสำเร็จไว้บนบ่ามาตลอด ถูกแทนที่ด้วยความโล่งสบาย ที่ได้กลับมาเป็นมือใหม่อีกครั้ง มั่นใจน้อยลง
       
       แล้วสิ่งนี้ก็ช่วยปลดปล่อยให้ผมกลับสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดในชีวิตของผม 5 ปีต่อมา ผมตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT แล้วก็ Pixar และต่อมาก็ได้พบรักกับลอว์เรนซ์ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาของเขา
       
       Pixar ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลกนั่นคือ Toy Story และขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก และต่อมาเหตุการณ์กลับตาลปัตรแอปเปิลกลับมาซื้อ NeXT ซึ่งทำให้ ผมได้กลับคืนสู่แอปเปิลอีกครั้ง และเทคโนโลยีที่ได้คิดค้นขึ้นที่ NeXT ได้กลายมาเป็นหัวใจของยุคฟื้นฟูของแอปเปิลในท้ายที่สุด
       
       ส่วนผมกับลอว์เรนซ์ก็มีครอบครัวที่มีความสุขด้วยกัน ผมคิดว่าทุกเรื่องคงไม่ลงเอยแบบวันนี้ถ้าวันนั้นผมไม่ได้ถูกไล่ออกจาก แอปเปิลมันเป็นยาขมแต่ยังไงคนป่วยก็ต้องการยา
       
       ถึงแม้บางครั้งชีวิตจะเล่นตลกกับคุณบ้าง แต่จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณเชื่อ ผมเองก็เชื่อว่า สิ่งเดียวที่ทำให้ผมลุกขึ้นเดินต่อไปได้ คือผมรักในสิ่งที่ผมทำ ดังนั้นคุณจะต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ ทั้งเรื่องงาน และเครื่องความรัก
       
       เพราะคุณจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการทำงาน และวิธีเดียวที่คุณจะทำในสิ่งที่ยอดเยี่ยม คือคุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ และถ้าหากคุณยังหามันไม่พบ อย่าหยุดหาจนกว่าจะพบ และหัวใจจะบอกคุณเอง เมื่อคุณพบมันแล้ว มันก็เหมือนกับมิตรภาพ หรือความสัมพันธ์ดีๆ ก็คือยิ่งนานวันเข้า เราก็จะรู้สึกว่ามันยิ่งใช่ ดังนั้นจงค้นหาต่อไป อย่าหยุด จนกว่าจะเจอ
       
       เรื่องที่สามของพบเกี่ยวกับความตาย ตอนผมอายุ 17 ผมเคยอ่านคำคมคนนึงบอกว่า "ให้คุณใช้ชีวิตเหมือนกับวันนี้เป็นวันสุดท้าย มันอาจจะเป็นจริงเข้าสักวัน" ผมประทับใจมาก และตลอด 33 ปีที่ผ่านมาผมจะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า "ถ้าผมอยู่วันนี้เป็นวันสุดท้ายผมจะยังอยากทำในสิ่งที่ผมกำลังจะไปทำในวันนี้หรือไม่" แล้วถ้าคำตอบเป็น “ไม่” ติดๆ กันหลายวัน ผมก็รู้ว่า ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง
       
       วิธีคิดว่าคนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จัก ช่วยให้ผมตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้ เพราะแทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้าหรือล้มเหลว จะหมดความหมายไปโดยปริยายเมื่อความตายมาถึง เหลือไว้ก็แต่เพียงสิ่งที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงเท่านั้น
       
       การเตือนตัวเองว่า เราไม่ได้อยู่ค้ำฟ้าเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมรู้ เพราะเมื่อตายไปแล้ว เราก็เหลือแต่ร่างกายที่เปลือยเปล่า จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำตามสิ่งที่หัวใจต้องการ
       
       เมื่อประมาณปีที่แล้ว ผมถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง ผมทำการตรวจร่างกายตอนเช้า 7.30 ผลที่ได้ปรากฏชัดว่า ผมมีก้อนเนื้อในตับอ่อน ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตับอ่อนมันอยู่ตรงไหน ต่อมาหมดก็บอกว่ามะเร็งชนิดนี้ไม่สามารถรักษาได้ ผมคงอยู่ได่อีกไม่เกิน 3-6 เดือน
       
       หมอแนะนำว่าผมควรกลับไปจัดการธุระที่บ้านให้เรียบร้อยซะ ความหมายอีกนัยหนึ่งของหมอก็คือให้เตรียมพร้อมจะตายได้เลย หมายถึงให้กลับไปสั่งเสียลูกๆ ทั้งๆที่ ตอนแรกคุณนึกว่าจะได้มีเวลาบอกเขาอีกสักสิบปี แทนที่จะเหลือแค่ 2-3 เดือน
       
       หมายถึงสะสางเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อยซะเพื่อคนในครอบครัวจะได้ไม่ต้องมายุ่งยากทีหลัง และหมายถึงเตรียมตัวบอกลาได้ วันนั้นทั้งวันผมใช้เวลาไปกับการตรวจร่างกาย พอตกเย็น ผมถูกตัดเนื้อเยื้อไปตรวจ
       
       วิธีก็คือหมอจะแหย่ท่อยาวๆ ลงไปผ่านลำคอ ท้อง ลำไส้ แล้วก็เอาเข็มจิ้มลงไปในตับอ่อนของผมเพื่อให้ได้เซลล์ส่วนนึงจากก้อนเนื้อที่อยู่ในนั้น ตอนนั้นผมสลบอยู่แต่ภรรยาผมเล่าให้ฟังทีหลังว่า พอหมอเห็นเซลล์ที่อยู่ใต้กล้องจุลทรรศน์แล้วหมอก็เริ่มร้องไห้
       
       เพราะปรากฏว่าก้อนเนื้อนั้นเป็นมะเร็งตับอ่อนที่ไม่ค่อยพบมากนัก และสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด ผมเข้ารับการผ่าตัด และขอบคุณพระเจ้าตอนนี้ผมหายดีแล้ว
       
       นั่นเป็นครั้งที่ผมเฉียดความตายมากที่สุดชีวิต และหวังว่าขอให้เป็นอย่างนั้นอีกสักพลายๆปี พอผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้ มันทำให้ผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำกับพวกคุณว่า ความตายเป็นประโยชน์และเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดสติปัญญาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
       
       ไม่มีใครที่อยากตาย แม้แต่คนที่อยากขึ้นสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนเพื่อจะขึ้นสวรรค์ ยังไงก็แล้วแต่ความตายเป็นจุดหมายปลายทางที่เราทุกคนต่างจะต้องไป ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แล้วมันก็ควรเป็นอย่างนั้นด้วย
       
       เพราะความตายเป็นเหมือนประดิษฐกรรมสุดยอดสิ่งหนึ่งของชีวิต เป็นการเปลี่ยนผ่านจากชีวิตหนึ่งไปสู่อีกชีวิตหนึ่ง เป็นการชำระล้างสิ่งเก่าๆเพื่อรอรับสิ่งใหม่ๆ
       
       ตอนนี้สิ่งใหม่นั้นคือคุณ แต่อีกไม่นานจากนี้ไป คุณก็จะเริ่มกลายเป็นสิ่งเก่าๆ และถูกเลือนหายไป ขอโทษด้วยครับที่พูดตรงไปหน่อย แต่มันเป็นความจริง เวลาของคุณมีจำกัด ดังนั้นอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตใต้เงาของคนอื่น
       
       อย่าตีกรอบด้วยกฏเกณฑ์ ซึ่งก็คือผลของการใช้ชีวิตตามความคิดของคนอื่นนั่นเอง อย่าให้เสียงความคิดเห็นของคนอื่น กลบเสียงที่อยู่ภายในของคุณจนหมดสิ้น และที่สำคัญที่สุด จงกล้าหาญอยู่เสมอที่จะทำตามหัวใจ และสัญชาตญาณของตัวเอง เพราะบางทีสองสิ่งนี้อาจรู้อยู่แล้วว่าที่จริงแล้วคุณต้องการจะเป็นอะไร นอกจากนี้แล้วทุกอย่างเป็นเรื่องสำคัญรองลงไปหมด
       
       ตอนที่ผมยังเด็ก มีวารสารที่ชื่อว่า The Whole Earth Catalog ซึ่งเปรียบได้กับคัมภีร์ของคนยุคผมเลยทีเดียว เจ้าของวารสารเล่มนี้ชื่อว่า Stewart Brand ซึ่งอาศัยอยู่ใน Menlo Park ไม่ไกลจากที่นี้
       
       เขาทำให้วารสารเล่มนี้ เต็มไปด้วยชีวิตชีวาด้วยสำนวนการเขียนที่น่าประทับใจ ยุคนั้นเป็นปลายยุค 1960 ก่อนมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ คอมพิวเตอร์สำหรับงานสิ่งพิมพ์เสียอีก ทุกหน้าพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีด ใช้กรรไกรตัดแปะ ใช้รูปจากกล้องโพลารอยด์ วารสารนี้เปรียบเทียบได้กับ กูเกิล ในรูปแบบกระดาษ เพียงแค่มันเกิดก่อนกูเกิล 35 ปี เป็นวารสารที่เปี่ยมไปด้วยอุดมคติ ท่วมท้นไปด้วยไอเดียบรรเจิด และเครื่องมือเจ๋งๆ
       
       Stewart Brand และทีมงานผลิต The Whole Earth Catalog ขึ้นมาหลายฉบับ จนกระทั่งเมื่อถึงวาระของมัน นิตยสารนี้ก็มาถึงฉบับสุดท้าย นั่นเป็นช่วงกลางยุค 1970 ซึ่งตอนนั้นผมก็อายุเท่ากับพวกคุณในที่นี้
       
       ด้านหลังปกของวารสารฉบับสุดท้าย เป็นรูปถ่ายถนนในชนบทเส้นหนึ่งในยามเช้า เป็นภาพที่พอจะกระตุ้นต่อมอยากของนักผจญภัยได้ ใต้รูปมีคำพูดประโยคนึงเขียนไว้ว่า “จงหิวโหย จงโง่เขลาอยู่เสมอ” Stay Hungry... Stay Foolish!!!
       
       ถือเป็นข้อความอำลงก่อนที่วารสารเล่มนี้จะปิดตัวลง “จงหิวโหย จงโง่เขลาอยู่เสมอ” เป็นคำที่ผมขอให้ตัวผมเองเป็นอย่างนั้นอยู่ตลอด
บทความโดย: Steve Jobs


วิธีสู่ความสำเร็จ Connecting the dots คือ อะไร!!!

Connecting the dots เชื่อมจุด เชื่อมโอกาส สร้างภาพให้ชัดกับชีวิตคุณ

ผมเคยได้ยินคำว่า Connecting the Dots มานานแล้ว เคยได้ยินพี่โจ้ ธนา จาก dtac เคยพูดเรื่องนี้เช่นกัน แต่ไม่เคยเข้าใจเลยว่ามันคืออะไร วันนี้ผมมาประชุมที่ญี่ปุ่น ก็มีวิทยากรพูดถึงเรื่องนี้ ผมเลย Google หาข้อมูลทันที เพื่อทำให้ตัวเองเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น
จริงๆ Connecting the Dots คือ การลากเส้นไปตามจุดต่างๆ แล้วสร้างเป็นภาพขึ้นมา เหมือนกับตอนเด็กๆ ที่มีแบบวาดภาพ โดยลากจาก จุดที่ 1 ไปถึงจุดสุดท้าย และมันก็กลายเป็นภาพขึ้นมา พอจำกันได้นะ แต่ในมุมของ Connecting the Dots ในเชิงนิยามนี้  หมายถึง “จุด” หลายๆ จุด ที่เปรียบได้กับประสบการณ์ในอดีตของคุณ แล้วนำคุณนำประสบการณ์ในอดีต มาสร้างเป็นเรื่องราว เป็นภาพให้เห็นกับชีวิตของคุณเอง ยิ่งมีจุดมาก ภาพที่เกิดขึ้นในหัวคุณก็จะมีมาก มีความหลากหลาย นั้นหมายถึงคุณจะมีมุมมองที่กว้างกว่า การที่มี “จุด” น้อยในหัวคุณ
มีคำพูดของ Steve Jobs ที่น่าประทับใจเป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจ ให้เดินไปข้างหน้าตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ เขาบอกไว้ว่า.. “Connecting the Dot” ..ทุกสิ่งที่เราเรียนรู้และลงมือทำในวันนี้ แม้ไม่ก่อให้เกิดผลทันที แต่วันหนึ่งข้างหน้าจะเป็นประโยชน์ เราสามารถเรียนรู้จากอดีต แต่เราไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้ ทุกสิ่งที่เราตั้งใจเรียนรู้และทำในวันนี้จะเป็นประโยชน์ในวันข้างหน้า…” ลองไปฟังสุนทราพจน์ ของ Steve Jobs @Standford University
ชีวิตจึงเป็นการเชื่อมต่อจุดให้เป็นภาพ จุดคือการเรียนรู้ด้วยสมองซ้าย แล้วเก็บจุดเหล่านั้นไว้ใน Memory file  ดังนั้นการได้เปิดโลก เปิดหูเปิดตา รับรู้อะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา จึงเป็นการเพิ่มจุดให้กับตัวเรา เมื่อเวลาผ่านไปจุดเหล่านั้นจะมีเต็มไปหมดในสมองของเรา เมื่อถึงคราวที่จะหยิบนํามาใช้ อย่าเอามาใช้แบบเป็นจุดๆ ต้องเอาจุดเหล่านั้นมาร้อยเรียงวางลงบนผืนผ้า ถ้าวางเรียงจุดได้เก่ง ก็จะรู้ว่าจะต้องเรียงจุดไหนก่อนและจุดไหนอยู่หลัง “แต่หากคุณประสบการณ์น้อย จุดของคุณก็จะน้อยด้วย” สุดท้ายใช้สมองขวาเชื่อมโยงจุดเหล่านั้นให้เป็นภาพ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ภูเขา หรือภาพเครื่องบิน
จุดต่างๆที่คุณเริ่มสะสมสร้างขึ้นมาเป็นประสบการณ์

.
ยิ่งจุดเยอะเท่าไร เราก็มีความสามารถในการสร้างภาพ สร้างเรื่องราว สร้างอะไรใหม่ๆ หรือแก้ปัญหาอะไรต่างๆ ได้ง่ายมากขึ้น เพราะเรามีจุดหรือมีประสบการณ์มาก
. อย่าไปคาดหวังว่า จุดที่คุณสร้าง ณ.วันนั้นมันจะส่งผลออกมาทันที อย่าลืมมันเป็นเพียงแค่จุด แต่หากยิ่งคุณมีจุดเยอะ หรือมีประสบการณ์เยอะ หากคุณมีปัญหา หรือวางแผนอะไร คุณจะสามารถดึง “จุด” ต่างๆ ออกมาได้ใช้ได้ดีกว่า คนที่มีจุดน้อยกว่า
คุณที่มี “จุด” น้อยมักมีลักษณะแบบนี้
  • ชีวิตซ้ำๆ ทุกๆ วัน ไม่มีอะไรใหม่ๆ
  • ไม่ค่อยอ่านข่าว รับรู้ข่าวสารอะไรใหม่ๆ
  • ไม่หาโอกาสไปเที่ยว ไปงานสัมมนา งานกิจกรรมต่างๆ
  • ไม่ค่อยมีเพื่อนใหม่ๆ
  • มักมีความคิดในเชิงลบ (Negative Attitude) มองอะไรในแง่ร้ายเสมอ
หากคุณเป็นคนในกลุ่มนี้ “จุด” ของคุณก็จะเกิดใหม่น้อยมาก เช่นเดียวกันประสบการณ์ของคุณก็จะน้อยเช่นเดียวกัน “ทำให้โลกทัศน์ มุมมอง การใช้ชีวิต และการแก้ปัญหา แคบและน้อยตามไปด้วย”  
เทคนิคการเติม “จุด” ให้กับชีวิตของคุณ
  • หาอะไรใหม่ๆ ทำในชีวิตแต่ละวัน “ลองทำสิ่งเดิมๆ ในมุมมอง และวิธีใหม่ๆ” คุณอาจจะได้ผลลัพย์ใหม่ ที่น่าอัศจรรย์ก็ได้
  • ไปร่วมงาน กิจกรรมต่างๆ บ้างเช่น สัมมนา การพบปะนัดพบ ออกไปเที่ยว พบเพื่อนใหม่ๆ ในสังคม อุตสาหกรรมเดียวกับคุณ
  • เปิดหูเปิดตา อ่านข่าว รับรู้อะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา ตอนนี้ข้อมูลอยู่ปลายนิ้วคุณแล้ว (ลองดูวิธีนี้)
  • “คิดบวก” จะทำให้คุณมองทุกอย่างรอบตัวมีคุณค่าเสมอ
  • การทำอะไรผิดพลาด ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่มันคือการเรียนรู้อันยิ่งใหญ่ รับรู้ โอบรับ และจดจำมันเอาไว้ ไปใช้ในครั้งหน้า
  • สร้างและเปิดโอกาสใหัตัวเอง 
ลองมาเริ่มเติม “จุด” ในชีวิตคุณให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นทุนเอาไว้ในอนาคตของคุณ และมันจะดีมากๆ หากคุณสามารถ เขียน เล่าเรื่องราว “จุด” ของคุณลงไปในโลกออนไลน์ เช่นการเขียน blog ของตัวเอง ผมว่า “จุด” ที่คุณสร้างขึ้นมา มันนอกจะเชื่อมต่อภายในตัวคุณเองแล้ว มันยังจะสามารถ สร้างความรู้ และสร้าง “จุด” ให้กับคนอื่นๆ ได้อีกด้วย อย่างที่ผมเขียนบทความนี้ให้คุณอ่าน ผมเองก็สร้าง “จุด” ใหม่ขึ้นมาให้ตัวผม และเช่นเดียวกัน ผมก็สร้าง “จุด” ใหม่ให้ก้บคุณได้เช่นกันครับ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วล่ะครับ ว่าเราจะ “เชื่อมต่อจุดที่เรามีอยู่วันนี้ ไปกับจุดอื่นๆ ในอดีตหรืออนาคตอย่างไร” 
Reference
  • หลังจากเขียนบทความนี้เสร็จผมเพิ่งพบว่ามันมีหนังสือชื่อ Connect the Dots ด้วย โดย Rashmi Bansal ลองหาอ่านดูครับ (แต่ไม่รู้ตีความเหมือนผมตีเปล่านะ) 
  • ขอบคุณ Pawoot.wordpress.com
  • http://www.blacksheep.co.th/article/connecting-dots/
  • http://www.iurban.in.th/inspiration/steve-jobs-connecting-the-dot/

สุขภาพดีด้วยการเดิน 10,000 ก้าว สมองปลอดโปร่ง ติด Project ฉลุย111

ทำไมต้อง 10,000 ก้าวมีประโยชน์จริงหรือ แล้วทำไงเอ่ย!!!

เดิน 10,000 ก้าว "เพื่อสุขภาพ" ลดหุ่น ลดโรค
สนับสนุนโดย สสส

ในภาวะสังคมไทยปัจจุบันนี้ พบว่า คนไทยใช้ชีวิตอยู่บนความเร่งรีบ จนบ่อยครั้งลืมที่จะดูแลสุขภาพตัวเอง แถมยังใช้ชีวิตบนความสะดวกสบาย
ร่างกายแทบไม่ต้องขยับ จึงไม่น่าแปลกใจที่คนไทยโดยทั่วไป ออกกำลังกายน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
 ส่งผลให้คนไทยอายุ 45-70 ปี ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง ถึง 30% และเป็นภาวะอ้วนลงพุง ถึง 35% การออกกำลังกายน้อยยังนำมาซึ่ง
ปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น สมรรถภาพทางกายต่ำ เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน และโรคเครียด เป็นต้น
มีงานวิจัยออกมายืนยันแล้วว่า การเดินประมาณวันละ 10,000 ก้าว หรือเทียบเท่าระยะทาง 5 ไมล์ จะช่วย ลดหุ่น และเกิดประโยชน์ต่อสุขภาพคนทุกเพศทุกวัย
นักวิจัยชาวออสเตรเลียได้เก็บข้อมูลสุขภาพของหนุ่มสาว 60,000 คนใน 55 ประเทศทั่วโลกที่เดินวันละ 10,000 ก้าว
พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีน้ำหนักลดลงเฉลี่ย 4.5 กิโลกรัม รอบเอวลดลงประมาณ 2 นิ้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ในกลุ่มตัวอย่างที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง มีความดันโลหิต ลดลง 34 เปอร์เซ็นต์โดยไม่ต้องกินยา และ
ยังช่วยลดความเสี่ยงของเกิดโรคเบาหวาน หลอดเลือดหัวใจ อัลไซฌมอร์ มะเร็งเต้านม ฯลฯ
เห็นข้อดีอย่างนี้แล้ว รีบสวมรองเท้าออกเดินกันเถอะครับ....อ่านต่อ

สิงค์โปร์ลงทุนอย่างชสญฉลาดเพื่อพัฒนาคนสิงคโปร์!!!

อะไรคือเครื่องนับก้าว ที่สิงค์โปร์ลงทุนผลิตแจกฟรีให้คนสิงคโปร์กัน!!!

เกริ่นให้ฟังว่าสุขภาพสำคัญแค่ไหนทั้งส่วนตัว และ ส่วนรวมขนาดไหน ลองมาดูว่าประเทศเศรษฐกิจอันดับต้นๆของโลกคือสิงคโปร์ ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพของประชาชนของตนมากมาก เพราะเขาถือว่า คนคือทรัพยากรที่ล่ำค่าที่สุดของโลก โดยเฉพาะคนของใช้ซึ่งอาศัยอยู่ประเทศที่เล็กมากๆ ... วิกิพิเดียระบุ ประเทศสิงคโปร์ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐสิงคโปร์ เป็นนครรัฐสมัยใหม่และประเทศเกาะที่มีขนาดเล็กที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้...ขนาดเล็กเทียบเท่ากับภูเก็ตของเรา แต่ เป็นศูนย์กลางพาณิชย์สำคัญของโลกแห่งหนึ่ง โดยเป็นศูนย์กลางการเงินใหญ่สุดเป็นอันดับสี่ของโลก และเป็นหนึ่งในห้าท่าที่วุ่นวายที่สุดใหญ่เป็นอันดับสองของเอเซีย รองจากโยโกฮามาของญี่ปุ่น และเป็นท่าเรือที่มีการขนส่งสินค้ามาก เป็นอันดับสามของโลก มีมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับต้นๆของโลกทีเดียว... ได้ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์จริงๆ จนเป็นประเทศที่สุดยอดในทุกๆด้าน
สิงคโปร์หันมาส่งเสริมด้านสุขภาพของประชากรมานานหลายปีแล้วครับ แต่ก้าวกระโดดที่โดดเด่นมากจริงๆ คือในปี 2014 ที่กระทรวงสาธารณสุข ทำแอปพลิเคชั่นฟรีมาให้ประชาชน บอกเลยว่าแอปสวย แอปดี และอัดแน่นด้วยประโยชน์จริงๆ แถมโปรโมชั่นเพียบที่เป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลก "สุดยอด แค่เดินก็ได้เงิน!! รัฐบาลสิงคโปร์ แจกนาฬิกานับจำนวนก้าวเดิน เก็บสะสมก้าวเดินครบสามารถแลกเงินได้" "สิงคโปร์เจ๋ง! แจกนาฬิกาสะสมก้าวเดิน ถ้าเดินครบหนึ่งหมื่นก้าว ได้ตังค์!" และ อีกหลายๆ พาดหัวข่าว

แนวคิดดีๆของรัฐบาลสิงคโปร์ที่อยากให้ทุกคนดูแลสุขภาพของตัวเอง เป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่สามารถพัฒนาขึ้นมา เพื่อสุขภาพของคนในประเทศสิงคโปร์จริงๆ คือ นาฬิกาข้อมือ หรือ สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพที่รัฐบาลสิงคโปร์จัดทำขึ้นมาเพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนในประเทศของเขา ผู้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ต้องลงทะเบียนล่วงหน้าแล้วมารับสมาร์ตวอตช์ฟรีที่ที่ทำการไปรษณีย์ใกล้บ้านครับ เจ้านาฬิกาอัจฉริยะนี้มีชื่อเรียกว่า HPB steps tracker (HPB เป็นตัวย่อของกรมส่งเสริมสุขภาพ) แถมไม่ได้แจกแล้วจบเท่านั้นนะครับเพราะเครื่องนี้มาพร้อมประกัน 1 ปี ถ้าระบบรวนแล้วนับผิดพลาด
ก็มาเปลี่ยนเป็นอันใหม่ได้ สงสัยการใช้งานก็สอบถามศูนย์บริการได้ บริการเหมือนซื้อสมาร์ตวอตช์ยี่ห้อดังมาใช้เองเลยครับ
เพียงแต่รัฐบาลสิงคโปร์ให้มาฟรีๆ ฟรีแค่คนละอันแต่เข้าร่วมกิจกรรมได้เรื่อยๆ ทั้งชีวิต (ถ้าใครมีสมาร์ตวอตช์ยี่ห้อที่ร่วมกิจกรรมอยู่แล้วก็ใช้ของตัวเองได้เลย)...ข้อมูลจาก Dek-d and Chiangmainews

เป็นที่รู้กันดีว่าในยุคนี้ เราหันมารักสุขภาพและออกกำลังกายกันมากขึ้น แล้ว กับสายรัดข้อมือ ก็เป็นอุปกรณ์เพื่อสุขภาพยอดนิยม.....อ่านต่อ http://worldhealthyhope.blogspot.com/2018/06/blog-post_9.html