เขียนโดย เทพ รุ่งธนาภิรมย์ เมื่อ พฤ, 29/04/2010 - 16:21
เมื่อตอนเริ่มต้นใช้กลยุทธหุ้นห่านทองคำ ผมได้มีโอกาสลองผิดลองถูก ในการลงทุนซื้อหุ้น
ยอมรับครับ ว่าผมกลัวตลาดหุ้น เพราะคาดคะเนไม่ถูกว่า จะมีแนวโน้มการเคลื่อนไหวไปทางใด
ผมจึงถือหลัก ต้องพยายามปลอดภัยให้มากไว้ก่อน แต่ก็ทำใจยอมรับกับผลขาดทุนทางบัญชี ซึ่งเกิดจากการที่ราคาหุ้น ร่วงต่ำกว่าต้นทุนที่ซื้อไว้ เพราะชอบความคิดของ Warren Buffett ที่บอกว่า ถ้าใครทนเห็นลงต่ำกว่า 50% ไม่ได้ ยังไม่ใช่นักลงทุน
แต่เพราะการใช้หลักปลอดภัย จึงทำให้ผมต้องทำการบ้าน ด้วยการพยายามประเมินมูลค่าหุ้น
ว่าควรจะออกมาเท่าใด โดยใหม่ๆจะตั้งเป้าผลตอบแทนจากปันผล ไว้สูงก่อน คือ 10%
ว่าควรจะออกมาเท่าใด โดยใหม่ๆจะตั้งเป้าผลตอบแทนจากปันผล ไว้สูงก่อน คือ 10%
ถ้าหาซื้อไม่ได้ เพราะตั้งราคาซื้อไว้ต่ำไป ก็ค่อยๆขยับขึ้น เป็น 9% บ้าง 8% บ้าง หรือบางทีต่ำกว่าก็ยังมีบ้าง
ทีนี้ พอซื้อหุ้นเข้าพอร์ตแล้ว ก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ คอยติดตามผลงานของบริษัทเป็นระยะๆ
ที่ชอบมาก คือทุกบริษัทเปิดโอกาสให้นักลงทุน ในฐานะผู้ถือหุ้น สามารถเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นอย่างน้อยปีละครั้ง
ที่ชอบมาก คือทุกบริษัทเปิดโอกาสให้นักลงทุน ในฐานะผู้ถือหุ้น สามารถเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นอย่างน้อยปีละครั้ง
จากแต่เดิมที่เคยละเลย ไม่เข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น ผมก็กลับมาขมีขมัน ศึกษารายการประจำปี(annual reports) อย่างขมักเขม้น
พอเริ่มศึกษา ก็เริ่มเห็นบางประเด็นที่ไม่เข้าใจ เลยจดบันทึกไว้ แล้วหยิบหยกมาถามในที่ประชุม
ปรากฏว่า ได้เห็นการทำงานของคณะกรรมการ หลายๆชุด ซึ่งมีทั้งทำอย่างลวกๆ และทำอย่างมืออาชีพ
พอเริ่มศึกษา ก็เริ่มเห็นบางประเด็นที่ไม่เข้าใจ เลยจดบันทึกไว้ แล้วหยิบหยกมาถามในที่ประชุม
ปรากฏว่า ได้เห็นการทำงานของคณะกรรมการ หลายๆชุด ซึ่งมีทั้งทำอย่างลวกๆ และทำอย่างมืออาชีพ
พวกที่ทำอย่างลวกๆ กลับมา ผมก็ขายหุ้นทิ้ง เพราะถือว่า คณะกรรมการบริษัท ไม่ได้ทำหน้าที่กำกับดูแลดีพอ ถือว่าสอบตกด้าน CG (Corporate Governance) คือทางด้านธรรมาภิบาล
แต่พวกที่ทำอย่างมืออาชีพ ทำให้ผมเกิดความมั่นใจ โดยเฉพาะตัวCEO ซึ่งเวลาแถลงผลการดำเนินงาน จะว่าไปตามข้อเท็จจริง ไม่ใช่พูดแต่ด้านดีอย่างเดียว จุดอ่อนหรือความเสี่ยงก็พูดด้วย
ที่สำคัญคือ รับฟังคำถามจากผู้ถือหุ้นอย่างตั้งใจ และตอบอย่างมีเหตุผล พร้อมทั้งบอกว่าทางบริษัท จะมีแนวทางการแก้ไขอย่างไร
ในการถาม ในการตอบ ผมจะจดบันทึกไว้ เพราะถือว่านี่เป็นบริษัทของผม การถือหุ้นแม้จะเพียงบางส่วน ก็ทำให้ผมกลายเป็นเจ้าของกิจการคนหนึ่งเหมือนกัน
บางบริษัท ดีไปกว่านั้นอีก คือมีบริษัทหนึ่งทำเกี่ยวกับน้ำมันพืช ผมได้เสนอให้ทางบริษัท
จัดการบรรยายความรู้เกี่ยวกับธุรกิจที่ทำ ให้กับผู้ถือหุ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น ทางบริษัทก็จัดให้
ทำให้พวกเราผู้ถือหุ้น เกิดความเข้าใจและมั่นใจมากขึ้น
จัดการบรรยายความรู้เกี่ยวกับธุรกิจที่ทำ ให้กับผู้ถือหุ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น ทางบริษัทก็จัดให้
ทำให้พวกเราผู้ถือหุ้น เกิดความเข้าใจและมั่นใจมากขึ้น
คนภายนอก ไม่มีโอกาสเช่นนี้ พอเห็นงบการเงินออกมาไม่ดี ก็พากันเทขาย จนหุ้นบริษัทตกไปต่ำมาก Market Cap เหลือเพียง 3,500 ล้านบาท จากเคยสูงถึงกว่า 10,000 ล้านบาท
แต่พวกเราที่เข้าใจ ขอเน้นว่า ไม่ใช่ได้ข้อมูลแบบภายใน (inside information) เพราะบริษัทจัดให้กับผู้ถือหุ้นที่สนใจ ได้รับฟังข้อมูลอย่างพร้อมเพรียงกัน ก็กัดฟันทยอยซื้อเพิ่ม
ต่อมา เมื่อบริษัทได้มีการปรับกลยุทธการทำงาน ตามที่เคยเล่าให้ผู้ถือหุ้นฟัง ผลประกอบการก็ออกมาดีขึ้นๆ ราคาหุ้นก็ขึ้นจนทำให้ market cap ขึ้นมาจาก 3,500 ล้านบาท เป็น 13,000 ล้านบาท
ผู้ถือหุ้นอย่างพวกเรา ก็มีความสุขกันทั่วหน้า
ผู้ถือหุ้นอย่างพวกเรา ก็มีความสุขกันทั่วหน้า
ประเด็นที่ผมอยากจะพูดก็คือ การลงทุนในหุ้น ไม่ใช่กิจกรรมครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นกิจกรรมที่ควรติดตามทำอย่างต่อเนื่อง
การได้ศึกษา ธุรกิจและผลการดำเนิงานของบริษัท แล้วมีโอกาสได้สื่อสาร
กับคณะกรรมการและ CEO เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
กับคณะกรรมการและ CEO เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
เพราะเป็นโอกาสอันดี ที่เราจะได้สอบถามปัญหาสำคัญๆ ได้แสดงข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์
ต่อคณะกรรมการบริษัท เพราะสิ่งที่พูดไว้ จะถูกจดบันทึกในรายการที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ต่อคณะกรรมการบริษัท เพราะสิ่งที่พูดไว้ จะถูกจดบันทึกในรายการที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ซึ่งเมื่อปีหน้ามาถึง เราสามารถจะสอบถามความก้าวหน้า ของเรื่องที่ได้พูดไว้แล้ว
ถ้าบริษัทนำไปปฎิบัติจริง ก็ถือว่าใช้ได้ ไม่ใช่สักแต่พูด
ถ้าบริษัทนำไปปฎิบัติจริง ก็ถือว่าใช้ได้ ไม่ใช่สักแต่พูด
แต่ถ้าไม่ทำเลย อย่างนี้สักครั้งสองครั้ง ก็คงต้องถอย ขายหุ้นทิ้ง
เพราะกำลังเจอกับช้างเกเร ขืนคบต่อ อนาคตไม่สดใสแน่
เพราะกำลังเจอกับช้างเกเร ขืนคบต่อ อนาคตไม่สดใสแน่
เสียดายอย่างเดียว การประชุมผู้ถือหุ้น มักจะมาใกล้กัน จึงต้องเลือกไป
ไปแล้ว เสียเวลาบ้างนิดหน่อย แต่ทำให้เข้าใจภาพพจน์บริษัทชัดขึ้น ถือว่าคุ้ม
แถมบางบริษัทก็ใจดี ให้ของชำรวยติดไม้ติดมือกลับมาด้วย
ไปแล้ว เสียเวลาบ้างนิดหน่อย แต่ทำให้เข้าใจภาพพจน์บริษัทชัดขึ้น ถือว่าคุ้ม
แถมบางบริษัทก็ใจดี ให้ของชำรวยติดไม้ติดมือกลับมาด้วย
ซื้อหุ้นแล้ว ได้กลายเป็นเจ้าของกิจการ ดีอย่างนี้แหละครับ
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
M&W
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น